วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อากาศเย็นลงทุก 1 องศา เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน 2%

ปลัด สธ.เตือนภัยหนาวกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคหัวใจ ความดันโลหิต และเบาหวาน หลังพบอากาศเย็นทำให้ภาวะเลือดหนืดขึ้น หัวใจทำงานหนักขึ้น ชี้อากาศเย็นลงทุก 1 องศาเซลเซียส เพิ่มโอกาสหัวใจวายเฉียบพลันได้ถึง 2% แนะ 7 วิธีการป้องกันดูแลร่างกายให้อบอุ่น
นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็นขึ้นของไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีความเหมาะสมต่อการระบาดของเชื้อโรคหลายชนิด เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคหัด โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และโรคไข้หวัดนก นอกจากกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และกลุ่มผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ที่สามารถป่วยได้ง่ายแล้ว ยังมีกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หอบหืด ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งกลุ่มเหล่านี้จะมีภูมิต้านทานต่ำ และพบว่า มีแนวโน้มการเสียชีวิตจากภัยหนาวสูงกว่ากลุ่มวัยผู้ใหญ่ที่ไม่มีโรคประจำตัว จึงได้สั่งการเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม.ให้ความรู้ในการปฏิบัติตัว และดูแลเป็นกรณีพิเศษ
นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังต้องดูแลตนเองใน 3 เรื่องสำคัญ คือ อาหาร การออกกำลังกาย และกินยาควบคุมอาการ แต่เมื่อถึงฤดูหนาวจำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะความชื้นในอากาศลดลง ผิวหนังจะแห้งและคัน เมื่อเกาจะทำให้ผิวหนังอักเสบง่าย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน เมื่ออากาศเย็นลงจะมีปัญหาระบบการไหลเวียนเลือด ระดับน้ำตาลสะสมในเลือดจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ ยังพบว่า อุณหภูมิที่ลดลงมีผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เพราะเลือดมีความหนืดขึ้น ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยอุณหภูมิที่ลดลง 1 องศาเซลเซียส จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน (Heart attack) ได้ถึงร้อยละ 2 ดังนั้น ในช่วงหนาวนี้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และเบาหวาน จึงควรดูแลร่างกายให้อบอุ่นเป็นพิเศษอยู่เสมอ
นพ.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า ผู้ป่วยโรคเรื้อรังควรปฏิบัติตัวในช่วงฤดูหนาว ดังนี้ 1.ดูแลร่างกายให้อบอุ่น โดยการสวมหมวก เสื้อคลุมกันหนาว ใส่ถุงมือถุงเท้า และรองเท้าที่ใส่สบาย หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าใยสังเคราะห์ หรือขนสัตว์ เพราะจะระคายเคืองผิวหนัง ควรทาผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ และเกิดอาการผิวแห้งคันตามมา ภายในบ้านควรดูแลให้อากาศถ่ายเทสะดวกและปิดหน้าต่างที่เป็นทางลมเข้า ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่มีคนแออัดการระบาย อากาศไม่ดี เพราะอาจติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ง่ายและหายยากกว่าคนปกติ
2.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่รสไม่จัด หลีกเลี่ยงลูกอม ขนมหวาน และอาหารไขมันสูง เลือกอาหารประเภทต้ม ธัญพืช ผัก ผลไม้สดที่หวานน้อยซึ่งมีวิตามินแร่ธาตุสูง ช่วยให้ผนังเซลล์แข็งแรงและเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุราเพื่อแก้หนาว เพราะไม่สามารถช่วยได้ และจะทำให้เกิดการขาดน้ำอย่างรุนแรง อาจเสียชีวิตได้
3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ควรเป็นการออกกำลังกายในร่ม เช่น เล่นโยคะ เต้นแอโรบิกขณะดูทีวี หรือออกกำลังกายกลางแจ้งในช่วงที่ไม่มีแดดจัดและไม่มีลมพัดแรง สำหรับผู้สูงอายุควรออกกำลังกายโดยการเดินเร็ว หรือยืดเหยียดร่างกาย
4.หมั่นตรวจเช็คค่าความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม 5.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
6.คอยสังเกตอาการผิดปกติ และแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม ไม่หันไปพึ่งพาอบายมุข บุหรี่ สุรา ไม่เครียด โดยปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำผิดปกติ
 7.พักผ่อนให้เพียงพอ โดยสวมใส่ชุดนอนที่อบอุ่นและห่มผ้าหนาๆ จัดห้องนอนไม่ให้ลมผ่านมากๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนตอนกลางคืน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

พบผู้ป่วย 5 โรคเรื้อรัง สูงกว่า 11 ล้านคน สธ.เร่งหาวิธีป้องกัน

สธ. เผยประชาชนป่วย 5 โรคเรื้อรัง สูงกว่า 11 ล้านคน และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น  เร่งปรับพฤติกรรมผู้ป่วยในเรื่องการบริโภค เพิ่มการออกกำลังกาย ลดเครียด ลดการดื่มสุราและบุหรี่
น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายให้ความสำคัญกับงานควบคุมป้องกัน และส่งเสริมสุขภาพ ลดปัญหาการเจ็บป่วยของประชาชน โดยเฉพาะโรค 5 โรคไม่ติดต่อ ที่เกิดจากพฤติกรรมของบุคคลไม่เหมาะสม ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็ง ซึ่งเป็นปัญหาด้านสุขภาพอันดับแรกของประเทศ ข้อมูลในปี 2552 มีคนไทยป่วยจาก 5 โรคนี้ประมาณ 11 ล้านคน และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าหากคนไทยป่วยเป็นโรคดังกล่าว 18 ล้านคน ประเทศไทยจะต้องสูญเสียงบประมาณค่ารักษาประมาณปีละ 335,359 ล้านบาท
“ในปีงบประมาณ 2556 กระทรวงสาธารณสุขจะเพิ่มการปรับพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เบาหวานในเรื่องการบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย ลดเครียด ลดละการดื่มสุราและสูบบุหรี่ ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 50% ของผู้ป่วย และรณรงค์ตรวจคัดกรองโรค ครอบคลุมประชากรอายุ 35 ปีขึ้นไป ไม่ต่ำกว่า 90% โดยให้ รพ.สต.ที่มี 9,750 แห่งทั่วประเทศ เป็นกำลังหลักร่วมกับ อสม.ในพื้นที่รวมประมาณ 1.2 ล้านคน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่ดีแก่ประชาชนให้มีอายุยืนได้ตามเป้าหมาย คือ 80 ปีในอีก 10 ปี ซึ่งขณะนี้ค่าเฉลี่ยอายุคนไทยคือ 75.6 ปี ขณะเดียวกันจะเร่งยกมาตรฐานทางวิชาชีพ และจริยธรรมแห่งวิชาชีพให้แก่บุคลากรด้านสาธารณสุขที่มีกว่า 70,000 คนทั่วประเทศ ประกอบด้วย นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน เจ้าพนักงาน ทันตาภิบาล เจ้าพนักงานเภสัชกรรม และนักวิชาการสุขาภิบาล ส่วนใหญ่ปฏิบัติงานอยู่ใน รพ.สต. สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ/จังหวัด ศูนย์/กรมวิชาการ และกระทรวงสาธารณสุข โดยปฏิบัติหน้าที่ในการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค และการรักษาพยาบาลเบื้องต้น โดยเสนอให้มีร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุข พ.ศ. ตามที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ” น.พ.ชลน่านกล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง                

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ชวนพ่อเลิกบุหรี่วันพ่อแห่งชาติ

น.ส.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า ศจย.และ สสส.สนับสนุนโครงการวิจัยเรื่องการสัมผัสควันบุหรี่มือสองในบ้านของเด็กอายุ ต่ำกว่า 5 ปี ชุมชนช้างเผือก จ.นครราชสีมา ศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 80 ครัวเรือน เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของการสัมผัสควันบุหรี่มือสองกับการเจ็บป่วยด้วยโรค ระบบทางเดินหายใจ ช่วง 3 เดือน (ต.ค.-ธ.ค.54) ที่ผ่านมา พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ป่วยด้วยโรคหวัด ร้อยละ 91.84 ป่วยโรคภูมิแพ้ ร้อยละ 8.16 โดยความเจ็บป่วยมีความสัมพันธ์กับการที่มีผู้สูบบุหรี่ภายในบ้าน ดังนั้น จำเป็นต้องมีโปรแกรมช่วยให้บ้านปลอดบุหรี่ และทำให้ตระหนักถึงภัยของควันบุหรี่มือสอง เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวที่มีเด็กเล็กเลิกบุหรี่ได้ ศจย.จึงอยากเชิญชวนพ่อเลิกบุหรี่ เริ่มต้นวันดีในวันพ่อแห่งชาติ
รศ.พญ.วนพร อนันตเสรี อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี คือ เด็กวัยนี้เป็นวัยที่มีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจได้บ่อยอยู่ แล้ว เช่น โรคหวัด หลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบเป็นต้น ทั้งนี้ เพราะร่างกายยังอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ถ้าหากเด็กกลุ่มนี้สัมผัสควันบุหรี่ยิ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อได้มากขึ้น เนื่องจากควันบุหรี่ทำให้ทางเดินหายใจบวม เด็กเล็กที่มีการติดเชื้อระบบหายใจจะมีอาการของความเจ็บป่วยได้มากกว่าเด็ก โต เนื่องจากทางเดินหายใจมีขนาดเล็ก กำจัดสิ่งคัดหลั่งได้ยาก ทำให้หลอดลมอุดตันได้ง่าย อาจเกิดอาการหอบเหนื่อย หรือได้ยินเสียงวี้ดได้ ในระยะยาวอาจเกิดอาการหอบซ้ำได้ ดังนั้น ควรให้ความสำคัญในการป้องกันเด็กจากการสัมผัสควันบุหรี่มือสอง

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เผย 6 หนทางรัก ดูแลสุขภาพพ่อ

กระทรวงวิทย์ฯ สนับสนุนคนไทยทำดีเพื่อพ่อ ทั้งพ่อบังเกิดเกล้า และพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย โดยในปีนี้ มอบหมายให้ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำการแสดงกตเวทิตาของลูกในเรื่องการดูแลสุขภาพให้กับคุณพ่อของทุกคน
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าว ว่า คนไทยโชคดีที่มีพ่อถึง 2 ท่าน ถือได้ว่าเป็นมงคลอันประเสริฐแห่งชีวิต และจะยิ่งเป็นมงคลขึ้นอย่างที่สุด ถ้าเราได้ดูแลพ่อของเราด้วยหัวใจ แสดงกตเวทิตาให้ท่านด้วยการดูแลจิตใจท่านในฐานะลูก คุณพ่อของเราที่บ้านท่านอาจเข้าวัยที่ต้องดูแลเป็นพิเศษก็ขอให้หาโอกาสเข้า ไปดูเรื่องสุขภาพให้ท่าน สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้กับลูกทุกคนก็คือ อย่าผลัดเวลารัก ขออย่ารอเวลาบอกรักพ่อ ผลัดไปวันๆ หรืออายไปตลอดเวลาแล้วอ้างว่าไม่มีเวลาคุยกันสักที
“ในฐานะลูกคนหนึ่งจึงขอฝากสิ่งที่ลูกพอจะทำให้กับพ่อได้ เพื่อให้คุณพ่อได้ หนุ่มเสมอ และอยู่กับเรานานๆ สไตล์อายุรวัฒน์ อันดับแรก ให้พ่อเลี่ยงดื่ม อยากขอให้พ่อระวังตับเพราะมะเร็งตับเป็นผู้ร้ายอันดับต้นของผู้ชาย คุณพ่อที่ยังดื่มไวน์, เบียร์และเมรัยประเภทต่างๆ อยู่ขอให้ดูแลตับไว้ด้วยอาหารบำรุงตับง่ายๆ อย่าง ขมิ้นชัน, เห็ดหอม, เห็ดหลินจือ, หัวบีทรู้ท และบร็อคโคลี เป็นต้น สำหรับคุณพ่อที่ไม่ชอบกินผักก็ขอให้ลูกที่น่ารักหาวิตามินมาให้กินแทน อย่าง ซีลีมาริน หรือวิตามินน้ำมันบำรุงตับอื่นๆ”
นายแพทย์กฤษดา กล่าวต่อว่า ข้อต่อมาคือ คุณพ่อพอถึงวัยหนึ่งอาจมีทั้งต่อมลูกหมากโต, ความดันขึ้น, ไขมันสูงและเบาหวาน ดังนั้นการหายาให้คุณพ่อรับประทานเป็นเรื่องดี แต่ขอให้ลูกรักช่วยดูจำนวนของยาที่กินด้วยว่ามากเกินไปจนทำให้คุณพ่อตับพัง หรือเสี่ยงไตวายหรือไม่  หรือถ้าจะให้สมุนไพรคุณพ่อก็ขอให้พาคุณพ่อไปเจาะเลือดตรวจตับไว้ก่อนว่าแข็ง แรงแค่ไหน และถัดไปคือ พาพ่ออดบุหรี่ เพราะเป็นตัวที่บั่นทอนสุขภาพ และถ้าหากเลิกได้ท่านจะหนุ่มขึ้นอีกเยอะเลย
ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวต่อว่า วิธีลดพุงพ่อ เพราะคุณพ่อท่านทำงานมาเหนื่อยตลอดชีวิต พอถึงวัยหนึ่งก็จะเริ่มล้าไม่อยากออกกำลังกายประกอบกับความเครียด การมีพุงไว้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ถ้าหนักไปจะทำให้คุณพ่อเสี่ยงความดัน, มะเร็งและ “แก่ก่อนวัย” ดังนั้นอย่าให้คุณพ่อนอนดูทีวีเฉยๆ  ชวนท่านไปออกกำลังกายด้วยกันก็ดี ที่สำคัญไม่ต้องเครียดมาก สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คุณพ่ออุ่นใจได้ก็คือ การที่ลูกอาจดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่ารักษาพยาบาลไปจนถึงมอบค่าใช้จ่ายไว้ให้ท่านใช้สอยด้วย  การเห็นลูกเลี้ยงเราได้นี่มันเป็นความรู้สึกที่ดีที่สุดของคุณพ่อทุกคน
"สุดท้ายคือ อยากพาตรวจโรค ลูกที่ดีต้องเข้าใจสรีระของคุณพ่อด้วย เพราะมีบางโรคที่เกิดขึ้นตามวัยและบางทีคุณพ่อท่านอาจไม่อยากบอก ที่พบเจอบ่อยและขอแนะให้ตรวจคือ ต่อมลูกหมาก, ลำไส้และทางเดินอาหาร อาจพาคุณพ่อไปเจาะเลือดเพื่อตรวจ ต่อมลูกหมาก, สารบ่งชี้มะเร็งตับ, สารบ่งชี้มะเร็งลำไส้  และพาไปอัลตร้าซาวน์ดูช่องท้อง  นอกจากนั้นคุณพ่ออาจกำลังเผชิญภาวะ “กระดูกพรุน” ซึ่งคุณลูกสามารถพาไป “สแกนกระดูก” ได้สบายๆ ไม่เจ็บ"
ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติทิ้งท้ายว่า ทั้ง 6 ข้อนี้ ขอให้เป็นเสมือนจดหมายเปิดผนึกจากคุณลูกถึงคุณพ่อทุกท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงกตเวทิตาคุณอันเป็นคุณสมบัติของลูกผู้เจริญ  และที่สำคัญเหนือไปกว่านั้นก็คือเป็นการแสดงว่า “พ่ออยู่ในหัวใจลูกเสมอ” ไม่ว่าจะอายุเท่าไรหรือไม่ใช่ลูกเล็กๆ ของพ่อแล้วก็ตาม  แค่คำถามว่าปีนี้คุณพ่อได้ตรวจสุขภาพหรือยัง? ถ้ายังลูกจะได้พาไปตรวจ แค่นี้ก็ชื่นหัวใจคนเป็นพ่อไปถึงไหนๆ แล้ว สำหรับลูกที่ทำให้พ่อด้วยหัวใจนะครับจะได้รับความสุขใจอย่างล้นเหลือเข้ามา

ที่มา : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แนะคืนลอยกระทงเด็กสาวรักนวลสงวนตัว อย่าใช้เซ็กส์มัดใจคนรัก

อธิบดีกรมควบคุมโรค ห่วงเยาวชนมีเพศสัมพันธ์เร็ว ส่งผลท้องไม่พร้อม ติดโรคมาก เผยโรคซิฟิลิสดื้อยาเกือบ 100% แนะคืนลอยกระทงเด็กสาวรักนวลสงวนตัว อย่าใช้เซ็กซ์มัดใจคนรัก
นายพรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้เยาวชนมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุยังน้อยและขาดการป้องกัน พบว่าเด็กมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 เคยมีเพศสัมพันธ์ 4-20% มัธยมศึกษาปีที่ 5 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว 40% กลุ่มอาชีวะศึกษาเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว 60% ส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม ซึ่งพบว่าในแต่ละปีมีเด็กเกิดจากการตั้งครรภ์ไม่พร้อมของแม่ที่เป็นเยาวชน อายุไม่เกิน 20 ปี จำนวน 1.6 แสนคน หรือคิดเป็น 80% ของเด็กที่เกิดจากแม่ที่เป็นเยาวชนทั้งหมด และเนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ในวัยเรียนจึงไม่ได้มีการวางแผนครอบครัวมาก่อน ส่งผลไปถึงคุณภาพชีวิต ร่างกาย จิตใจทั้งของตัวเยาวชนและลูกที่เกิดมาด้วย
นอกจากนี้ พบว่ามีเยาวชนติดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น ทั้งโรคเอดส์ หนองใน ซิฟิลิส จากข้อมูลล่าสุด พบว่าเกือบ 100% ของผู้ที่ติดเชื้อซิพิลิสเกิดการดื้อยา น่าเป็นห่วงมาก เพราะเชื้อโรคนี้จะเข้าไปทำลายประสาทกล้ามเนื้อ เมื่อเป็นแล้วหากไม่เสียชีวิตก็อาจจะทำให้พิการได้ และลูกที่เกิดจากแม่ที่เป็นโรคดังกล่าวมีโอกาสพิการ เพราะฉะนั้นในโอกาสวันลอยกระทงที่จะถึงนี้ อยากรณรงค์ให้เยาวชนอย่าปล่อยให้ตัวเองไปเสี่ยงกับการติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆซึ่งอาจเกินเลยไปถึงการตั้งครรภ์ไม่พึง ประสงค์ด้วย ไม่เฉพาะลอยกระทง แต่รวมไปถึงเทศกาลปีใหม่และวันวาเลนไทน์ โดยเฉพาะผู้หญิงต้องระวัง อย่าคิดว่าจะไปผูกใจชายด้วยการมีเพศสัมพันธ์

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

ลอยกระทงสร้างสรรค์ ต้องไม่ทำลาย


เมื่อถึงเทศกาลลอยกระทงทีไร หลายองค์กรต่างออกมาร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงข้อเสียต่างๆ ที่ล้วนสร้างความสูญเสียตลอดจนทำลายวัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน ล่าสุดมีผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “ประเพณีลอยกระทงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” โดยเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ ร่วมกับมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา พบว่า สิ่งที่ประชาชนไม่อยากให้เกิดขึ้นในวันลอยกระทงคือ การจุดประทัด พลุไฟ 29% การทะเลาะวิวาท 26% ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์มีถึง 23% รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ 19%
แล้วจะลอยกระทงอย่างไรให้สร้างสรรค์? คิดง่ายๆ เลยคือ “การสร้างสรรค์ คือการไม่ทำลาย” เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้การลอยกระทงครั้งนี้เกิดการทำลายน้อยที่สุด หรือถ้าไม่ทำลายเลยก็จะดีที่สุด ซึ่งหากมองย้อนกลับไป ภาพที่จดจำได้ชัดเจนหลังจากเทศกาลลอยกระทงจบลงในวันรุ่งขึ้นเราจะเห็นขยะ จำนวนมหาศาลเป็นเศษกระทงทั้งที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและทำจากวัสดุเคมี สังเคราะห์ อย่างโฟม กระดาษ และพลาสติก ซึ่งเหล่านี้ใช้เวลาย่อยสลายหลายสิบปีเลยทีเดียว         
เมื่อรู้และเข้าใจถึงปัญหาชัดเจนแล้ว คราวนี้เราลองมามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาครั้งนี้กัน เริ่มจากลองคิดดูซิว่า จะทำกระทงแบบไหนดีที่ไม่ก่อให้เกิดขยะ และทำลายสิ่งแวดล้อม อาจจะมองหาสิ่งใกล้ตัวและเอามาดัดแปลง เป็นวิธีการทำกระทงแบบ DIY เน้นประหยัด ทำง่าย และให้คุ้มค่ามากที่สุด ตัวอย่าง การทำกระทง DIY แบบง่ายมากคือ กระทงน้ำแข็ง เพราะเมื่อน้ำเจอกับน้ำสักพักก็จะละลายหายไปไม่ก่อให้เกิดขยะแน่นอน วิธีทำก็แสนง่าย เอาน้ำใส่ขันแช่เย็นจนเป็นก้อนน้ำแข็ง แล้วใช้ดอกไม้ประดับด้านบน แค่นี้ก็สามารถเป็นกระทงรักษ์โลกได้แล้ว อีกตัวอย่างที่อยากแนะนำคือ กระทงจากเปลือกแตงโม เริ่มจากผ่าครึ่งลูกแตงโมง แล้วคว้านเอาเนื้อออกจนเหลือแต่เปลือก หาดอกไม้มาประดับสักหน่อย เท่านี้ก็จะได้กระทงแตงโมงหน้าตาน่ารัก ส่วนเนื้อแตงโมก็เอาแช่ตู้เย็นรับประทานชื่นใจ
นอกจากนี้ยังมีไอเดียการทำกระทงรักษ์โลกง่ายๆ จาก น้องแซ ตรีชฎา หวังพิทักษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาการสื่อสารการตลาด มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่จะทำกระทงจากกะลามะพร้าว
“ปี นี้แซจะทำกระทงจากกะลามะพร้าว เนื่องจากจำนวนกะลามะพร้าวมีอยู่มากหาได้ไม่ยาก ทรงโค้งๆ ของกะลามะพร้าวจะช่วยทำให้กระทงลอยน้ำได้อย่างไม่ต้องกลัวจม และถ้าใครอยากจะประดับตกแต่งให้สวยงามก็สามารถทำได้ ที่สำคัญควรเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งของกะลามะพร้าวก็คือ ไม่มีน้ำซึมเปียกเลอะเสื้อผ้า เหมือนกระทงปกติทั่วไปที่ทำจากหยวกกล้วย  อีกทั้งราคากะลามะพร้าวยังสบายกระเป๋าสุดๆ ค่ะ”
ส่วนวัยรุ่นคนไหนที่ไม่ชอบออกไปเบียดเสียดกับคนข้างนอก น้องก้อย กฤชภร ผิวเหลือง นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาการสารสนเทศ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แนะ นำว่า ปัจจุบันมีสื่อออนไลน์จำนวนไม่น้อยที่สร้างแคมเปญรณรงค์การลอยกระทงออนไลน์ ขึ้นมา เพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เรียบง่าย ไม่ชอบออกไปพบปะกับผู้คนข้างนอกสักเท่าไหร่ โดยที่เพียงแค่เข้าไปในเว็บไซต์นั้น ก็จะมีให้เลือกว่าจะลอยกระทงแบบไหน อธิษฐานว่าอะไร แล้วก็กดลอยกระทงได้เลย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยอนุรักษ์ประเพณีไม่ให้สูญหาย และยังช่วยลดปริมาณขยะที่จะตามมาภายหลังอีกด้วย เท่านี้เราก็จะได้ลอยกระทงตามแบบฉบับของคนออนไลน์แล้วค่ะ
ทั้งนี้ความสำคัญของประเพณีลอยกระทงนั้น ก็คือ การขอขมาต่อพระแม่คงคา การระลึกถึงความสำคัญของน้ำและการไม่ทำลายแหล่งน้ำ ให้ถือว่าเรามีความตั้งใจ และมีเจตนาดี วิธีการทำกระทงแบบ DIY ที่แนะนำไปนั้น จึงไม่น่าจะผิดประเพณีใดๆ หากแต่แค่เป็นการปรับวิธีเสียใหม่ ซึ่งก่อให้เกิดผลดีกับสถานการณ์ในปัจจุบันนั่นเอง
จากตัวอย่างที่ได้แนะนำไปนั้น หวังว่าจะช่วยจุดประกายเล็กๆ ให้กับหลายคนได้ไม่มากก็น้อย ที่อยากจะริเริ่มหันมาใส่ใจและอยากมีส่วนในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และถึงแม้ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่และแก้ไขยาก แต่หากทุกฝ่ายร่วมมือกันก็เชื่อว่าจะสามารถลดความสูญเสียและนำเอาความงดงาม ของประเพณีกลับมาได้ โดยต้องเริ่มจากที่ตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก

ที่มา : ฐาปน คำทา Team Content www.thaihealth.or.th

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รณรงค์โรคปอดบวม ทุก 20 วิมีเด็กเสียชีวิต 1 คน

หมอเด็กเผย ทั่วโลกมีเด็กเสียชีวิตจากโรคปอดบวม 1.5 ล้านคนต่อปี หรือทุก 1 คนต่อ 20 วินาที เร่งรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของโรคนี้ หากมีไข้สูงเกิน 3 วันรีบไปพบแพทย์ 
ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ที่ปรึกษาโรคระบบหายใจและเวชบำบัดวิกฤติในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสถิติการเสียชีวิตของเด็กส่วนส่วนใหญ่ไม่ว่าเบื้องต้นเป็นโรคอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายจะเสียชีวิตจากโรคปอดบวมหรือไม่ก็เป็นโรคปอดบวมตั้งแต่แรกแล้วถึง 18% หรือจำนวน 1.5 ล้านคน หรือเสียชีวิต 1 คน ในทุกๆ 20 วินาที เฉพาะในประเทศไทยมีเด็กเสียชีวิตปีละประมาณ 2 แสนคน หรือคิดเป็นอัตรา 19 ต่อประชากรเด็ก 1 แสนคน
ทั้งนี้ มีผลการศึกษาจากประเทศอินเดียพบว่า เด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัม มีโอกาสเป็นโรคปอดบวมมากกว่าเด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวปกติถึง 25% แต่ผู้ปกครองสามารถป้องกันลูกได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำร่างกายให้แข็งแรง และการรับวัคซีนป้องกันโรคได้ แต่วัคซีนดังกล่าวยังไม่ได้ให้บริการอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ ประชาชนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง แต่ในปัจจุบันพบว่าในประเทศไทยมีผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวเพียง 5% แสดงว่ายังมีคนที่เข้าไม่ถึงการป้องกันรักษาอีกเยอะมาก
“โรคปอดบวมส่วนใหญ่มักเกิดในช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว เพราะฉะนั้นหากลูกหลานเริ่มเป็นหวัดก็อย่านิ่งนอนใจ เพราะอาการหวัดธรรมดาอาจจะกลายเป็นโรคปอดบวมหรือเสียชีวิตได้ หรือบางรายหากรักษาหายแล้วอาจจะทำให้ร่างกายไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตต่อไปในอนาคต” ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย กล่าว และว่า ที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลก (Who) ได้ผลักดันให้โรคปอดบวมเป็นประเด็นสุขภาพระดับโลก และต้องการให้ทุกประเทศมีความรู้และตระหนักถึงการป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก อย่างต่อเนื่อง จึงกำหนดให้ทุกวันที่ 12 พ.ย.ของทุกปี เป็นวันปอดบวมโลก
ด้าน รศ.พญ.อัจฉรา ตั้งสถาพรพงษ์ กุมารแพทย์โรคติดเชื้อ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าว ว่า โรคปอดบวมเกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด โดยเฉพาะเชื้อนิวโมค็อกคัส และเชื้อไวรัสเอ็นทีเอชไอ (NTHi) ที่มักจะเกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง นอกจากนี้ เชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวยังส่งผลให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ จนนำไปสู่การเสียชีวิต หรือในบางรายหากรักษาได้อาจจะก่อให้เกิดความพิการตามมาได้
“ปัจจุบันการรับวัคซีนไอกรน คอตีบ ก็สามารถป้องกันโรคปอดบวมได้ แต่ยังมีวัคซีนทางเลือกที่ป้องกันเชื้อไวรัสนิวโมค็อกคัสได้โดยตรง ซึ่งตรงนี้ผู้ปกครองต้องออกค่าใช้จ่ายเอง โดยวัคซีนดังกล่าวจะฉีดให้กับเด็กแรกเกิดในช่วง 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน และช่วง 12-15 เดือน หรือถ้าในเด็กอายุเกิน 1 ปีขึ้นไปแล้วยังไม่ได้รับวัคซีน และยังไม่เคยเป็นโรคปอดบวมเลย จะได้รับวัคซีน 2 เข็ม” รศ.พญ.อัจฉรากล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

เตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์ “ลูกครบ 32 สมองดี”

การเฝ้ามองทารกตัวน้อยๆ  ออกมาลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัย คงเป็นภาพที่ พ่อ แม่ ผู้ให้กำเนิดอยากเห็นมากที่สุด แต่ยังมีอีกไม่น้อยที่เด็กทารกเกิดมาพร้อมกับความยากลำบาก หรือ ความพิการแต่กำเนิด ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ผู้ใหญ่ในสังคมต้องหันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหา ป้องกันและให้การรักษาเพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
สมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด(ประเทศไทย) ร่วมมือกับ ชมรมเวชพันธุศาสตร์กุมารแห่งประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมวิชาการครั้งที่ 4 ประจำปี 2555 เรื่อง โครงการปฏิบัติการระดับชาติเพื่อวางแผนป้องกันและดูแลรักษาความพิการแต่ กำเนิดในประเทศไทย (National Forum on Birth Defects and Disabilities) ขึ้น เพื่อจัดระบบการคัดกรอง ป้องกัน รักษาและติดตามผลให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นพ. ธีรพล  โตพันธานนท์ รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอก ถึงแนวทางการป้องกันความพิการแต่กำเนิดว่า กรมอนามัยเน้นการป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เกิด หรือเกิดน้อยที่สุด และเมื่อเกิดมาแล้ว ควรได้รับการแก้ไข หรือพัฒนาให้ดีขึ้น ให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามอัตภาพที่ควรจะเป็น ซึ่งได้เริ่มจัดตั้งศูนย์เตรียมความพร้อมในโรงพยาบาลและคลินิกเกิดขึ้นทุก จุดของประเทศ เพื่อให้แนวทางและคำปรึกษาในการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์  ไม่ว่าในพื้นที่ห่างไกลก็สามารถได้รับบริการได้อย่างทั่วถึง  ทั้งเรื่องโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม สุขภาพทั่วๆ ไป หรือโภชนาการต่างๆ
นพ. ธีรพล บอกว่า อีกหนึ่งความท้าทายคือ การชี้นำให้สังคมตื่นตัวและหันมาให้ความสำคัญ โดยสร้างภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นต่างๆ  ให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการป้องกันความพิการแต่กำเนิดของทารก อีกทั้งยังส่งเสริมบุคลากรในหน่วยงานที่มีส่วนร่วมให้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อเกิดการแก้ปัญหา รักษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ด้าน ศ.พญ. พรสวรรค์ วสันต์ นายกสมาคมเพื่อเด็กพิการแต่กำเนิด(ประเทศไทย) ให้ข้อมูลว่า โรคพิการแต่กำเนิดมีมากกว่า 7,000 โรค ปัจจุบันมีทารกพิการแต่กำเนิดทั่วโลกกว่า 8 ล้านคน ประเทศไทยมีทารกแรกเกิด 800,000 คน /ปี พบพิการแต่กำเนิด 3-5 % หรือ 24,000-40,000 คน/ปี ซึ่งในประเทศไทยยังไม่มีการจดทะเบียนและจัดเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพียงพอ
นายกสมาคมเพื่อเด็กพิการฯ บอกอีกว่า สาเหตุของโรค ส่วนใหญ่มีพันธุกรรมเกี่ยวข้อง  50 % และอีก 50% เกิดจากสิ่งแวดล้อม สิ่งเสพติดต่างๆ ก็มีส่วนทำให้เกิดโรคได้เช่นกัน การสูบบุหรี่ของแม่ขณะตั้งครรภ์มีผลทำให้ น้ำหนักแรกเกิดของเด็กน้อย การดื่มเหล้าทำให้สมองเด็กไม่สมบูรณ์  นอกจากนี้ผู้หญิงในวัย 25-35 ปี เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ และต้องมีความรู้ความเข้าใจในการตั้งครรภ์ ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการป้องกันการเกิดโรคอย่างจริงจัง มีการส่งเสริมให้ผู้หญิงที่จะตั้งครรภ์และเด็กได้รับอาหารเสริม วิตามิน แร่ธาตุที่สำคัญ นั่นคือ โฟเลต ไอโอดีน และเหล็ก
ด้าน พญ.นภาพรรณ วิริยะอุตสาหกุล ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย ได้พูดถึงความสำคัญของโภชนาการกับการป้องกันความพิการแต่กำเนิดว่า ภาวะโภชนาการของผู้เป็นแม่นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โฟเลตมีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้าง DNA และเซลล์ต่างๆของร่างกายของลูกน้อย ให้เจริญเติบโต ส่วนไอโอดีนและธาตุเหล็กก็มีผลต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาท เช่นกัน
พญ.นภาพรรณ บอกอีกว่า การขาดโฟเลตกับความพิการแต่กำเนิด สามารถป้องกันได้ถ้าแม่ได้รับโฟเลตเพียงพออย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้เด็กกับแม่แข็งแรง และเกิดภาวะพิการแต่กำเนิดต่างๆ น้อยที่สุด ซึ่งผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับโฟเลต 400 ไมโครกรัมต่อวัน ส่วนผู้ชายในวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับ 600 ไมโครกรัมต่อวัน ส่วนไอโอดีน ทารกแรกเกิด-5 ปี ควรได้รับ 90 ไมโครกรัมต่อวัน สำหรับอาหารที่มีโฟเลตพบมากในอาหารประเภทผักใบเขียวต่างๆ ผลไม้ อย่างพวก ถั่ว ส้ม มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ กล้วย ผักชี ประเภทเนื้อ เช่น ตับ เป็นต้น
“อีกสิ่งที่สำคัญและพิเศษที่สุด อีกอย่างหนึ่งคือ นมแม่ ภายในนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์และคุณค่ามากกว่านมชนิดไหนๆ เมื่อคลอดเด็กมาแล้ว ควรสร้างภูมิคุ้มและกันป้องกันให้เด็กตั้งแต่เริ่มแรก โดยให้เด็กทารกได้รับนมแม่ตั้งแต่เริ่มแรกจนหมดช่วงวัยด้วย” พญ.นภาพรรณบอกทิ้งท้าย

เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปวดท้อง...ลางบอกโรคร้าย

ปล่อยไว้อาจอันตรายถึงชีวิต!!

 
          ใคร ทีมักจะปวดท้องบ่อยๆ แต่ไม่ว่าปวดท้องเพราะอะไรอาจเป็นสัญญาณอันตรายโดยไม่รู้ตัว ถ้าปล่อยไว้เห็นทีจะไม่ดีแน่ ลองมาดูวิธีการเช็คโรคจากอาการปวดท้องเป็นเกร็ดความรู้กันสักหน่อยดีกว่า

          การ เช็คอาการปวดท้องโดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาจากตำแหน่งของอวัยวะและลักษณะของอาการปวดเพื่อประกอบการวินิจ ฉัย เช่น ปวดแบบเป็นๆ หายๆ ปวดหลังรับประทานอาหาร หรือหิวก็ปวด อิ่มก็ปวด เหล่านี้จะเป็นแนวทางช่วยให้ทราบอาการปวดท้องได้ "ตรงจุด" มากขึ้น

          หากปวดท้องด้านขวาตอนบน ความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้องมันเกิด จากโรคตับและถุงน้ำดี หรือในบางครั้งโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นบริเวณส่วนท้องน้อยก็เป็นได้ แต่ถ้าปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลงมา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้ เช่นเดียวกัน แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ

          แต่ถ้าหากปวดท้องด้านขวาตอนล่างอาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน หรืออาการอักเสบของลำไส้ ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าหากปวดท้องส่วนกลางส่วน ใหญ่มักเกิดจากสาเหตุที่มาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นบริเวณท้องน้อย

          ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกัน พร้อมกับอาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันหรือที่เรียกกันว่าไส้ตันเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ อักเสบ (Diverticulitis)

          เท่า ที่กล่าวมาเป็นแค่ปราการป้องกันให้ตระหนักว่าอาการปวดท้องอาจเป็นสัญญาณ อันตรายของโรคร้ายได้ คำแนะนำดังกล่าวช่วยให้ตรวจดูอาการปวดท้องเบื้องต้นได้ว่าน่าจะเกิดจากอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฟันธงได้เลยว่าป่วยเป็นโรคอะไร

          ทาง ที่ดีต้องไปพบแพทย์เพื่อวิจัยฉัยอย่างละเอียด หากเกิดอาการปวดท้องขึ้นมาก็ให้บอกอาการปวดกับแพทย์ให้ตรงจุด ที่สำคัญอย่าไปหาซื้อยามารับประทานเองเชียว เพราะหากรักษาผิดจุดขึ้นมาอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กรมควบคุมโรค ออกประกาศเตือน 7 โรคอันตรายในฤดูหนาว

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศเตือนประชาชน เรื่อง การป้องกันโรคที่เกิดในฤดู หนาว 7 โรค ได้แก่ โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคสุกใส โรคมือ เท้า ปาก และโรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มเสี่ยง คือ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง พร้อมแนะนำวิธีการทำเสื้อกันหนาวจากถุง พลาสติกอย่างง่าย           
วันนี้ (31 ตุลาคม 2555)  นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค  กล่าวว่า  ขณะนี้กำลังเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว กรมควบคุมโรคจึงมีความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน เพราะจากสภาวะอากาศเช่นนี้อาจส่งผลให้เกิดโรคภัยต่างๆ แทรกซ้อนได้ง่าย ซึ่งโรคที่มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาวมี 7 โรค  ตามประกาศกรมควบคุมโรค  ได้แก่ โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคหัด  โรคหัดเยอรมัน โรคสุกใส โรคมือ เท้า ปาก และโรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2554) พบว่ามีรายงานผู้ป่วยทั้ง 7 โรค ดังนี้ มากสุดคือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 311,415 ราย รองลงมาโรคปอดบวม 46,174 ราย โรคไข้หวัดใหญ่ 10,621 ราย โรคสุกใส 8,884 ราย โรคมือ เท้า ปาก 4,114 ราย โรคหัด 1,110 ราย และโรคหัดเยอรมัน 129 ราย ตามลำดับ
สำหรับในช่วงฤดูหนาวปีนี้ กรมควบคุมโรคได้จัดทำประกาศแจ้งเตือนให้ระวังโรคจากภัยหนาวส่งไปยังสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดและสำนักงานป้องกันควบคุมโรคทั้ง 12 เขต พร้อมเตรียมภารกิจหลักในการดูแลประชาชนในพื้นที่ประสบภัยหนาว ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ของโรคในพื้นที่ประสบภัยหนาว 2.การควบคุมโรค ในกรณีถ้ามีการระบาดของโรคติดต่อ กรมควบคุมโรคมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว(SRRT) เข้าไปดำเนินการสอบสวน ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในพื้นที่ และ 3.การสื่อสารความเสี่ยงและประชาสัมพันธ์ความรู้แก่ประชาชน โดยเน้นประชาชนใน 3 กลุ่มเสี่ยง คือ 1.กลุ่มเด็กที่มีอายุตํ่ากว่า 5 ปี 2.กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และ3.กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจําตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคตับ โรคไต และโรคโลหิตจาง เป็นต้น
นายแพทย์นพพร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการป้องกันตนเองจากภัยหนาว ประชาชนต้องสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายเพื่อป้องกันโรค และหากอยู่ในพื้นที่อากาศเย็นลงอย่างต่อเนื่องหรืออุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ควรสวมเสื้อผ้าหนาหรือสวมเสื้อผ้าหลายๆชั้น สวมผ้าพันคอ หมวกและถุงเท้า การทำให้คออุ่นและหูอุ่นเป็นการเก็บอุณหภูมิในร่างกาย สำหรับในพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนเสื้อกันหนาว สามารถนำถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ใช้ใส่ของมาตัดก้นถุง และตัดด้านข้างทั้งสองข้างเพื่อใช้สวมศีรษะและเป็นแขนเสื้อได้ กลายเป็นเสื้อกันหนาวอย่างง่าย เนื่องจากคุณสมบัติของพลาสติก ช่วยกันลมและเก็บความร้อนจากร่างกายได้โดยจะต้องสวมอยู่ชั้นในระหว่างเสื้อ ผ้ากับเสื้อกันหนาวด้านนอก ที่สำคัญถุงพลาสติกต้องสะอาดและไม่เปียกน้ำ ซึ่งถุงต้องมีความหนาพอสมควร เพราะถ้าบางมากอาจขาดได้ง่าย
“หากประชาชนเจ็บป่วยหรือไม่สบาย ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที และถ้ามีข้อสงสัยถึงอาการของโรคและวิธีปฏิบัติ สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทรศัพท์ 0 2590 3333” นายแพทย์นพพร กล่าวปิดท้าย

ที่มา : กระทรวงสาธารณะสุข

สธ.เตือน '3 โรค' ที่อาจติดมากับ 'เสื้อกันหนาวมือสอง'

ปลัด สธ.เตือนประชาชนระวัง "3 โรค" ที่อาจติดมากับ "เสื้อกันหนาวมือสอง" ทั้งกลากเกลื้อน, ภูมิแพ้ โรคติดต่อ และโรคผิวหนังจากพาหะนำโรค
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิด เผยว่า ช่วงนี้หลายจังหวัดของประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นลง โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่อากาศเย็นลงเร็วกว่าทางภาคอื่น จึงขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง สวมเสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ เรื่องที่ห่วงใยในฤดูหนาวนี้ประชาชนส่วนใหญ่มักซื้อหาเสื้อกันหนาวมาสวมใส่ โดยเฉพาะเสื้อกันหนาวมือสอง ซึ่งมีให้เลือกจำนวนมากและราคาถูก ทำให้เป็นที่นิยมซื้อกันมาก ซึ่งข้อมูลจากกรมศุลกากรในปี 2555 มีสถิติการนำเข้าเสื้อผ้าที่ใช้แล้วหรือของอื่นที่ใช้แล้วระหว่างเดือน มกราคม-กันยายน 2555 จำนวน เกือบ 20 ล้านกิโลกรัม มูลค่านับพันล้านบาท
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สิ่งที่อาจติดมากับเสื้อกันหนาวมือสองอาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สวมใส่ได้ หากไม่ทำความสะอาดเสียก่อน ซึ่งที่สำคัญมี 3 โรค ได้แก่ 1.โรคกลากเกลื้อน ซึ่งเกิดจากเชื้อรา ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดงกลายเป็นผื่นแพ้ และมีอาการคัน 2.โรคภูมิแพ้ซึ่งเกิดได้หลายกรณี ทั้งจากฝุ่นใยผ้า และฝุ่นที่ติดตามกระสอบบรรจุระหว่างการขนส่ง หรือเกิดจากการแพ้น้ำยารีดผ้าเรียบที่ใช้รีดก่อนจำหน่าย น้ำยาที่มีความเข้มข้นสูง อาจระคายเคืองผิวหนังได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจหรือโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น และ 3.โรคติดต่อและโรคผิวหนังจากพาหะนำโรค อาจปะปนมากับเสื้อกันหนาวมือสอง ได้แก่ ตัวไร ตัวเรือด เห็บ หมัด และโลน ซึ่งมักชอบอาศัยอยู่ในใยผ้าที่สกปรก อาจทำให้เกิดอาการผื่นคัน ระคายเคืองและเป็นแผลได้
นพ.ณรงค์ กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพิ่มกินผักและผลไม้หลากสี เช่น ผักคะน้า ตำลึง ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะละกอสุก มะม่วงสุก ส้ม ฝรั่ง ลิ้นจี่ เป็นต้น เนื่องจากผักและผลไม้เหล่านี้จะมีวิตามินซีและเอ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ช่วยให้หายป่วยเร็วขึ้น และบำรุงผิวพรรณ ให้ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นขึ้น ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที และกินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ จะป้องกันโรคติดเชื้อจากอาหารและน้ำ และโรคทางเดินหายใจได้
ด้าน นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในการเลือกซื้อและใช้เสื้อกันหนาวมือสอง กรณีของผู้ค้า ไม่ควรวางเสื้อผ้ากองกับพื้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีฝุ่นละอองและแมลงชนิดต่างๆ เข้าไปอาศัยในเสื้อผ้าได้ ส่วนประชาชนขณะที่เลือกซื้อควรสวมผ้าปิดจมูก เพื่อป้องกันการสูดฝุ่นละอองที่มากับเสื้อผ้า เลือกเสื้อผ้าที่มีสภาพดี ตรวจสอบรอยด่างดำ รอยคราบสกปรก รวมไปถึงกลิ่นอับชื้น ควรหลีกเลี่ยงผ้าที่ทำจากหนังสัตว์ประเภทขนฟู เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค
ทั้งนี้ ก่อนใช้เสื้อกันหนาวมือสอง ขอให้นำมาซักทำความสะอาดด้วยผงซักฟอก หรือน้ำยาซักผ้า และนำไปตากแดดจัดจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ หรือให้ซักแล้วนำมาต้มในน้ำเดือดหรือน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส นานประมาณ 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ส่วนผู้ที่มีอาการคันจากเชื้อราในร่มผ้าหลังใช้เสื้อกันหนาวมือสอง ไม่ควรแคะหรือแกะเกา หรือปล่อยไว้จนลุกลาม ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังทันทีเพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธี

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รพ.เด็กชี้ ! ทารกไทยกินนมแม่ต่ำกว่าเกณฑ์

ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กฯ เผยหลังจากงานสัปดาห์นมแม่โลก พบร้อยละ 29 เด็กไทยกินนมแม่ต่ำกว่ามาตราฐานโลก จาก 177 ประเทศสมาชิก
พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี(โรงพยาบาลเด็ก)   เปิดเผยว่า จากข้อมูลพบว่าเด็กไทยที่กินนมแม่อย่างเดียวจนอายุ 6 เดือนมีเพียงร้อยละ 29 ถือว่าเป็นเกณฑ์ที่ต่ำมาก แม้ว่าปัจจุบันสังคมมีความเข้าใจเรื่องนมแม่มากขึ้น แต่สถานการณ์ต่างๆ ก็อาจทำให้คุณแม่ให้นมลูกไม่สำเร็จ การทำความเข้าใจอดีตทั้งเรื่องที่มีการแยกแม่ลูกหลังคลอด ทำให้ลูกไม่ได้ดูดนมทันที ดังนั้น เราจึงต้องวางแผนเพื่ออนาคตว่าเราจะแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาอย่างไร ให้เด็กไทยได้กินนมแม่อย่างถูกวิธี ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการพูดถึงในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 65 ด้วย โดยมีการตั้งเป้าหมายทั้งโลกว่า ภายในค.ศ. 2025เด็กทั้งโลกซึ่งเกิดปีละประมาณ 136 .7 ล้านคนต้องได้นมแม่อย่างเดียว 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 50 ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 32.6 ข้อมูลของประเทศเรายังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ร้อยละ 29
ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กฯ กล่าวต่อไปว่า แม้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเรื่องที่มีการยอมรับอย่างกว้างขวางแล้วแต่ก็ ยังมีความท้าทายว่าในอนาคตระบบสาธารณสุขจะเข้ามาช่วยเหลือสร้างความรู้ความ เข้าใจให้บุคลากรและประชาชนอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่แม่ลาคลอดลูกได้ 90 วันโดยที่ยังได้รับเงินเดือน และอาจลาต่อได้อีก 60 วันโดยไม่ได้รับเงินเดือนส่วนที่ลาต่อ หรือมีสิทธิลาพักงานเพื่อให้นมลูกได้วันละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง สถานประกอบการต่างๆ สนับสนุนการให้นมแม่ด้วยการจัดมุมนมแม่ให้เป็นสัดส่วน ไปจนถึงมีหลักเกณฑ์ทางการตลาดห้ามโฆษณานมผงหรืออาหารสำหรับทารกแรกเกิดถึง 2 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพราะปัญหาสุขภาพของเด็กไทยเป็นปัญหาระดับชาติ และการสนับสนุนให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวจนอายุ 6 เดือน เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่องค์การอนามัยโลกยอมรับแล้วว่าได้ผล ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับสังคมไทยของเราแล้วว่าให้ความสำคัญอย่างจริงจังหรือไม่ เพื่ออนาคตของเด็กไทยของเรา

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สธ.เข้ม กันไข้เลือดออก ตายแล้ว 59 คน

รมว.สธ. สั่งเข้มป้องกันโรคไข้เลือดออก ที่ระบาดหนักขึ้น ชี้ มีคนเสียชีวิตแล้ว 59 ราย ในปีนี้
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว ว่า ในช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว หลายพื้นที่มีอุณหภูมิลดลง อากาศเริ่มหนาวเย็น ทำให้ประชาชนเสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกัน หลายพื้นที่ของภาคใต้ ก็ยังคงมีฝนตกประปรายจน ถึงหนักมาก ทำให้เกิดแอ่งน้ำขัง หรือมีน้ำขังอยู่ตามเศษวัสดุ เศษภาชนะต่างๆ จานรองกระถางต้นไม้ และกาบใบไม้ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อย่างดีของยุงลาย อาจทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เร่งควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ ได้กำชับทาง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ให้เร่งรัดมาตรการปราบยุงลาย
ดร.น.พ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว เสริมว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะภาคใต้ที่มีสภาพอากาศแบบฝนตกประปรายเกือบตลอดทั้งปี และในช่วงนี้หลายพื้นที่อาจเกิดฝนตกหนัก หลังจากฝนตกก็จะเกิดแอ่งน้ำขังหรือน้ำขังตามภาชนะต่างๆ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงได้โดยทั่วไป ยุงลายจะวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง ซึ่งเป็นน้ำนิ่ง ใส และสะอาด ซึ่งน้ำฝนมักเป็นน้ำที่ยุงลายชอบวางไข่มากที่สุด จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกของ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-16 ตุลาคม 2555) พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสม จำนวน 52,008 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 81.42 ต่อประชากรแสนคน และมีผู้เสียชีวิต 50 ราย เมื่อแยกเป็นรายภาคที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ภาคกลาง จำนวน 20,600ราย รองลงมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14,347 ราย ภาคเหนือ 9,076 ราย และสุดท้าย ภาคใต้ 7,985 ราย ตามลำดับ แต่เมื่อคิดจากอัตราป่วยจะพบว่า ภาคกลาง มีอัตราป่วยมากที่สุด คือ 95.27 ต่อประชากรแสนคน รองลงมากลับเป็น ภาคใต้ ที่ 89.79 ต่อประชากรแสนคน ส่วนตลอดทั้งปี 2554 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศมีผู้ป่วย จำนวน65,971 ราย เสียชีวิต จำนวน 59 ราย

ห้าม ขรก.กินปลาร้าดิบ เสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ในตับ

ที่ จ.เลย นายแพทย์วิวรรธน์ ก่อวิริยกมล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย เปิดเผยว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย คาดโทษข้าราชการ/ลูกจ้าง สังกัดกระทรวงสาธารณสุข หากพบว่ารับประทานปลาดิบ เนื้อปลาร้าดิบ น้ำปลาร้าดิบ จะถูกลงโทษ เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดีโรคพยาธิใบไม้ตับ เป็นพยาธิใบไม้ชนิดหนึ่งที่ตัวแก่อาศัยอยู่ในท่อน้ำดีของคน สุนัขและแมว พยาธิชนิดนี้มีความสำคัญทางสาธารณสุขมากกว่าพยาธิอื่นๆ ที่พบการระบาดในประเทศไทย เนื่องจากเป็นพยาธิชนิดเดียวในประเทศไทยที่องค์การอนามัยโลกยอมรับและจัดให้ เป็นเชื้อก่อมะเร็ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น เป็นแหล่งที่มีอุบัติการณ์ของมะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในประเทศไทยและในโลก คือ 88 ต่อ 100,000 ในชาย และ 36 ต่อ 100,000 ในผู้หญิง ซึ่งถือว่าอันตรายอย่างมากหากไม่ใส่ใจกับการบริโภคอาหารต่างๆ
"ขอย้ำว่าข้าราชการและลูกจ้างสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ในการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ต้องกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือทุกครั้ง โดยเฉพาะหากพบว่ามีการรับประทานปลาดิบ เนื้อปลาร้าดิบ น้ำปลาร้าดิบ จะถูกลงโทษทันที หากรักชีวิต ต้องเลิกกินปลาดิบทุกชนิด"
นอกจากนี้ยังได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนชาวจังหวัดเลยให้ระมัดระวังโรค หน้าหนาวในช่วงฤดูหนาวปีนี้ เนื่องจากช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศมีการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ที่มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ อาจเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย โดยเฉพาะโรคที่ต้องดูแลพิเศษคือ ไข้หวัดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด หัดเยอรมัน อุจจาระร่วง อีสุกอีใสและไข้หวัดนก จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ รักษาร่างกายให้อบอุ่นไม่กระทบอากาศร้อนหรือเย็นจนเกินไป
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก-ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ รักษาความสะอาดของร่างกาย ล้างมือบ่อยๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หมั่นสังเกตสุขภาพร่างกายของตนเอง และบุคคลในครอบครัว หากไม่สบายมีอาการคล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ อาจมีน้ำมูก น้ำตาไหล เด็ก-ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวมักมีอาการรุนแรง สังเกตได้จากหอบ หายใจลำบาก รีบพาไปรับการรักษาในสถานบริการสาธารณสุขทันที

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อย.สั่งเรียกคืนกันแดดยี่ห้อดัง หลังมีข่าวอาจทำให้ไฟลุกไหม้ผิวหนังได้

    
หลังมีข่าวผู้บริโภคในสหรัฐและ แคนาดาใช้ครีมกันแดดยี่ห้อหนึ่ง แล้วได้รับอันตรายหลังเกิดติดไฟที่ผิวหนังและบริษัทผู้ผลิตเรียกเก็บคืนจาก ท้องตลาด ในส่วนของไทย อย.เร่งตรวจสอบการนำเข้าผลิตภัณฑ์สเปรย์ยี่ห้อดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พบว่า มีการนำเข้ามาในประเทศไทย เพียง 1 รายการ ขณะนี้ให้บริษัทเรียกเก็บคืนจากท้องตลาดแล้ว ขอผู้บริโภคอย่าหวั่นวิตกพร้อมแนะหากใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าว ขอให้อ่านฉลากและปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด หากใช้ต้องให้ผลิตภัณฑ์แห้งสนิท ไม่ควรใช้ขณะอยู่ใกล้ประกายไฟ                
                นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เปิด เผยว่า อย.ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีการนำเข้าผลิตภัณฑ์กันแดดยี่ห้อ ดังที่ปรากฎเป็นข่าว จำนวน 6 รายการ ซึ่งตรงกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นข่าวเพียง 1 รายการ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบไม่พบผู้บริโภคในประเทศไทยได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดัง กล่าวแต่อย่างใด แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประสานกับบริษัท ผู้นำเข้าเรียกคืนสินค้าดังกล่าวออกจากชั้นวางจำหน่ายสินค้าเป็นที่เรียบ ร้อยแล้ว
                เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้ผู้บริโภคอย่าตื่นตระหนก เพราะ อย.จะคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคเสมอ และ ขอแนะนำว่าหากมีความประสงค์จะใช้ผลิตภัณฑ์ใน  กลุ่มรูปแบบเป็นสเปรย์ฉีดพ่นใดๆ ควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำเตือนที่แสดงบนฉลากอย่างเคร่งครัด ให้สังเกตข้างกระป๋องผลิตภัณฑ์จะแสดงรูปฉลากประกายไฟบนขวดสเปรย์ และเวลา  ทำกิจกรรมใดๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย เช่น การสูบบุหรี่ ควรหลีกเลี่ยงทันที เพราะสเปรย์ กันแดดโดยทั่วไปมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เกิดการติดไฟได้ง่าย ทั้งนี้ หากผู้บริโภคมีอาการผิดปกติจากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพสามารถร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 อีเมล์ : 1556@fda.moph.go.th หรือ สำนักสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เตือน! ดื่มน้ำร่วมแก้วเสี่ยงต่อโรคติดต่อหลายโรค

 
          นพ.ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึง การดื่มน้ำร่วมแก้วกับผู้ที่มีเชื้ออยู่ก่อนแล้ว เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อโรคติดต่อ
 
          โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน คนงานการเกษตร ที่มักจะนำน้ำดื่มใส่ภาชนะใบใหญ่ แล้วนำมาดื่มร่วมกันโดยใช้แก้วน้ำใบเดียวกัน พบว่ามีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อหลายโรค ดังนั้นประชาชนควร หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำร่วมแก้วเพื่อป้องกันกันการติดเชื้อโรคจากทางน้ำลาย
 
          จากพฤติกรรมเสี่ยงที่บ่งชี้ถึงอันตรายที่จะได้รับเชื้อโรคคอตีบ โดยเตือนกลุ่มพิเศษโดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานอันเนื่องมาจากในเดือน พฤศจิกายน จนถึงเดือนธันวาคม เกษตรกรจะเริ่มเก็บเกี่ยวข้าว และตัดอ้อยซึ่งจะมีการว่าจ้างคนงานเกษตรเป็นจำนวนมากเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งกลุ่มแรงงานเหล่านี้อาจมาจากหลากหลายพื้นที่ และแรงงานต่างด้าวในโรงงานที่หันมารับจ้างพิเศษในช่วงวันหยุดของโรงงาน จะมีการนำภาชนะบรรจุน้ำดื่มไว้บริการกันเองในกลุ่มแรงงานด้วยกัน โดยใช้แก้วน้ำเพียงใบเดียว ขันตักน้ำใบเดียว เมื่อดื่มน้ำแล้วก็ไม่มีการล้างแก้ว ล้างขันให้สะอาด จึงทำให้เสี่ยงต่อการระบาดของโรคติดต่อ ที่สำคัญคือ โรคคอตีบ โรคหวัด โรคมือ เท้า ปาก และโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำอื่นๆ ไม่เฉพาะกลุ่มแรงงานเกษตรเท่านั้น ยังมีกลุ่มนักดื่มที่นิยมดื่มเหล้าจากแก้วใบเดียวกัน จึงขอความร่วมมือให้นายจ้างที่จำเป็นต้องจ้างแรงงานเกษตรมาทำงานให้ความ สำคัญกับน้ำดื่มโดยเฉพาะ หากสามารถใช้แก้วน้ำกระดาษประเภทใช้แล้วทิ้งจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หรือจัดให้มีบริเวณสำหรับล้างแก้วน้ำหลังดื่มเสร็จทุกครั้ง และขอให้ร้านค้าที่มีบริการน้ำดื่มฟรีดูแลให้มีหลอดดูดที่สามารถใช้แล้วทิ้ง ได้เลยนอกจากจะประหยัดได้แล้วยังปลอดภัยอีกด้วย ในส่วนของกรรมกรผู้ใช้แรงงานให้จัดหาภาชนะแก้วน้ำสะอาด หลอดดูด หรือการนำกระติกน้ำดื่มส่วนตัวแทนการดื่มน้ำร่วมกับผู้อื่น เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อที่อาจจะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน
 
          ในช่วงต้นฤดูหนาวนี้ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ ไข้ เจ็บคอ กลืนลำบาก และหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง จะต้องระวังการดื่มน้ำในที่สาธารณะจากแก้วน้ำที่ใช้ร่วมกัน ผู้ป่วยและผู้มีอาการไข้ เจ็บคอต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

8 ข้อหลักง่ายๆ กินเจให้ถูกวิธี

เน้นความสะอาด

        สัญลักษณ์ธงเหลืองปลิวไสวอยู่ตามแผงร้านอาหาร เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเทศกาลสำคัญกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อย่าง เทศกาลกินเจ ที่หลายคนเลือกจะงดบริโภคอาหารสัตว์ แล้วหันมาทานผัก โปรตีนที่ได้จากถั่ว เต้าหู้แทน พร้อมๆ ไปกับการรักษาศีล ทำความดี โดยปีนี้กำหนดจัดเทศกาลกินเจระหว่างวันที่ 7-16 ตุลาคม 2553


        แล้วกินเจอย่างไรให้ถูกวิธี ไม่ให้อ้วน ไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหาร วันนี้ นายสง่า ดามาพงษ์
  
ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มี คำแนะนำดีๆ มาบอกให้ฟังว่า การกินเจถือเป็นเรื่องดี ที่คนหันมากินผักมากกว่า แต่การกินเจใช่เพียงจะมองแต่จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่ควรมองเรื่องของการถือศีลควบคู่เป็นสำคัญ ส่วนวิธีการกินเจให้ถูกวิธี มีหลักง่ายๆ 8 ข้อ คือ 

        1.ต้อง มั่นใจว่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะหมู่โปรตีน ซึ่งโปรตีนที่จะมาทดแทนเนื้อสัตว์คือ โปรตีนที่ได้จากถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งปัจจุบันนี้มีการผลิตออกมาในรูปแบบของเต้าหู้แผ่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ทอด ขณะที่วิทยาศาสตร์ด้านอาหารก้าวไกลไปมาก จึงทำให้เกิดโปรตีนเกษตรที่ปัจจุบันนี้ก็มีผู้นิยมบริโภคจำนวนมากเช่นกัน แต่จากที่ตนได้ลงสำรวจในตลาดพบว่า ปัจจุบันนี้มีการทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ แต่ไม่ได้ทำมาจากโปรตีนเกษตร โดยทำมาจากแป้ง ซึ่งก็อาจส่งผลให้ผู้บริโภคที่ไม่รู้ทานมากไปอาจอ้วนได้

        2.ความ สะอาด ส่วนมากผู้ทานเจในปัจจุบันจะมักนิยมไปซื้ออาหารเจตามร้านค้า ไม่ค่อยปรุงอาหารเอง ซึ่งก็เสี่ยงต่อเรื่องของความสะอาด ดังนั้นผู้ปรุงอาหารเจขายควรคำนึงเรื่องของความสะอาดให้มาก โดยเฉพาะการทำความสะอาดผักที่นำมาประกอบอาหาร การเลือกดูเครื่องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็นซอส ซีอิ๊ว ต้องดูวันหมดอายุ และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นต้น

        แนะ วิธีล้างผักง่ายๆ นำผักสดที่ซื้อมาใส่ภาชนะ เติมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 2-5 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีก 1 รอบ ก็จะช่วยล้างสารพิษออกจากผักได้ในระดับหนึ่ง ประมาณ 30-70%

        3.หลีก เลี่ยงอาหารรสจัด ในที่นี้หมายถึงรสมันจัดกับเค็มจัด เพราะอาหารเจมักจะปรุงด้วยวิธีการผัด-ทอดในน้ำมัน หากเป็นไปได้ควรหันมาบริโภคอาหารประเภทต้ม ย่าง อบ ยำ เช่น ยำมะเขือยาว แกงจืดเต้าหู้ ฯลฯ แทน

        ส่วน รสเค็มจัดนั้น ต้องอย่าลืมว่าการปรุงอาหารก็จะใช้ซอส ซีอิ๊ว เกลือแทนน้ำปลา ซึ่งเครื่องปรุงเหล่านี้มีปริมาณของโซเดียมสูง ซึ่งจะส่งผลให้ไตทำงานหนัก

        ปกติคนเราจะบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 mg./วัน

        4.ควรเลือกทานผัก-ผลไม้สด มากกว่าผักดอง เพราะผักสดมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าผักดอง

        5.อาหาร เจประเภทที่ปรุงด้วยวิธีการเคี่ยวนานๆ อาจทำให้คุณค่าของสารอาหารสูญเสียไป เช่น ต้มจับฉ่าย ที่ต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน ในส่วนนี้ต้องระวังเรื่องของคุณค่าอาหารจะหายไป รวมถึงความสะอาดของผัก เพราะหากไม่ล้างให้สะอาดแล้วนำมาปรุง ก็เท่ากับสารพิษก็จะตกค้างอยู่ในหม้อ

        6.ทาน เจให้ได้ไอโอดีนอย่างเพียงพอ เพราะการทานเจไม่ได้รับประทานอาหารทะเล ดังนั้นการรับประทานอาหารเจก็ควรเติมเกลือไอโอดีนใส่ในการปรุงรสด้วยก็จะ ช่วยทดแทนได้

        7.ควรบริโภคข้าวกล้องมากกว่าข้าวขาว เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีนมากกว่าข้าวขาว

        8.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม แล้วหันมาดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์แทน

        8 ข้อหลักนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผู้บริโภคจะเลือกไปปฏิบัติ แล้วรู้หรือไม่ว่าการกินเจจะมีประโยชน์กับระบบของร่างกายอย่างไร? ศูนย์สารนิเทศทางอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุประโยชน์ของการกินเจไว้ว่า

        - ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกให้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักสดผลไม้ช่วยให้การขับถ่าย และการย่อยเป็นปกติ
     
        - เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาว ผิวพรรณสดชื่น ผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใส ไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด มีสุขภาพอนามัยดี
     
        - อวัยวะหลักสำคัญภายในและอวัยวะประกอบทั้ง 5 แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง  (อวัยวะหลักภายในทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ, ไต, ม้าม, ตับ, ปอด)  (อวัยวะประกอบทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี)

        - ร่างกายต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา อาทิ  สารเคมี, ยากำจัดศัตรูพืช, ยาฆ่าแมลง, ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล  และ สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ เช่น กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ และในสงคราม
       
        ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักเป็นประจำ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฎ
โดยเฉพาะโรคที่รุนแรงและเรื้อรัง เช่น  โรคมะเร็ง,โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, เส้นเลือดตีบ, ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต,  โรคไต, ไขข้ออักเสบ, โรคเกาต์, โรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร, มะเร็งในกระเพาะ และลำไส้, โรคกระเพาะ, อาหารไม่ย่อย  โรคเหล่านี้จะไม่พบในผู้ที่รับประทานอาหารเจอาหารพืชผัก และผลไม้เป็นประจำ

        เห็น คุณประโยชน์นานัปการแบบนี้แล้ว กินเจปีนี้ ใครที่ยังไม่เคยทานเจ ลองหันมาทานเจดูบ้าง อย่างน้อยก็เหมือนเป็นการล้างพิษในร่างกายแถมยังอิ่มบุญอีกด้วย

 ที่มา : สุนันทา สุขสุมิตร Team Content www.thaihealth.or.th

ผักผลไม้รวมทั้งกล้วยไข่คุณค่าเพียบ ป้องกันมะเร็ง กินต่อเนื่องเป็นผลดี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนใช้เทศกาลกินเจ ปลูกฝังการกินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ หรือวันละประมาณครึ่งกิโลกรัม ชี้มีผลดีหากกินต่อเนื่องเป็นประจำ จะลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างน้อยร้อยละ 20 ระบุผลวิจัยในกล้วยไข่ 1 ผล พบมีสารสำคัญต้านโรคมะเร็งถึง 3 ชนิด
วันนี้ (15 ตุลาคม 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงาน สารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพง ประจำปี 2555” ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง จ.กำแพงเพชร และให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเทศกาลกินเจนี้ ประชาชนจะหันมากินผักผลไม้อย่างเดียว ซึ่งหากมีการกินอย่างต่อเนื่องหรือกินเป็นเมนูในอาหารทุกมื้อจะเป็นผลดี 
มีผลวิจัยทั่วโลกยืนยันว่าการกินผักผลไม้จะช่วยป้องกันโรคได้หลายอย่าง ที่สำคัญและกำลังเป็นปัญหาของคนทั่วโลก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับหนึ่งติดต่อกันมากกว่า 10 ปี คือโรคมะเร็ง ล่าสุดรายงานในปี 2553 มีจำนวน 58,076 ราย 
รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข  มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้คนไทยเพิ่มการกินผัก ผลไม้ ให้ได้ครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารแต่ละมื้อ หรือประมาณวันละครึ่งกิโลกรัม ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ 20 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า โดยมีผลการศึกษาทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า 1 ใน 3 ของคนที่เป็นโรคมะเร็งมีสาเหตุมาจากอาหาร
ทั้งนี้ในผักผลไม้ จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบร้อยละ 70-80 เป็นน้ำที่ไม่มีสารพิษ เป็นประโยชน์กับร่างกายมากจะมีวิตามินต่างๆ เกลือแร่ มีกากใยมาก หน้าที่ของวิตามินและเกลือแร่ จะทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายเกิดความสมดุล ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยวิตามินบี จะช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้ความจำดีขึ้น วิตามินซีและวิตามินอี จะสร้างความสมดุลระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย ส่วนกากใยในผักผลไม้ จะทำหน้าที่ดูดซับสารพิษหรือสารอาหารที่เป็นส่วนเกิน ได้แก่ ไขมัน น้ำตาล แล้วขับถ่ายออกไป ทำให้ลำไส้ไม่มีสิ่งหมักหมม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวานได้  ดังนั้นจึงอยากจะขอเชิญชวนให้คนไทยทุกคน และชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนใช้เทศกาลเจ เป็นจุดเริ่มต้นของการกินผักผลไม้ อย่างต่อเนื่องให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันการเกิดโรค   
สำหรับกล้วยไข่ ซึ่งจังหวัดกำแพงเพชรเป็นแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงของประเทศ และเป็นผลไม้คู่กับเทศกาลสารทไทยด้วย จากงานวิจัยของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่ามีประโยชน์สูง โดยมีวิตามินอี เบต้าแคโรทีน และวิตามีนซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รวมทั้งโรคตาต้อกระจกได้ ผลการวิจัยพบว่าในกล้วยไข่ 1 ผล ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 40 กรัม มีเบต้าแคโรทีน 108 ไมโครกรัม มีวิตามินอี 0.19 มิลลิกรัม วิตามินซี 4 มิลลิกรัม และให้พลังงาน 44 กิโลแคลอรี่ ในการกินนั้น แนะนำให้กินกล้วยไข่แทนข้าวได้ 2 ผล เด็กกินได้ 1-2 ผล จะต้องลดปริมาณข้าวลง เพราะกล้วยไข่ 2 ผลเท่ากับข้าว 1 ทัพพี หากแปรรูปทำเป็นกล้วยไข่อบแห้ง จะต้องไม่ใส่น้ำตาล หากนำไปทอดให้ระวังเรื่องน้ำมัน ส่วนการเชื่อมต้องระวังเรื่องความหวาน โดยเด็กสามารถกินกล้วยฉาบแทนขนมกรุบกรอบได้ เพราะมีประโยชน์มากกว่า

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

ดื่มน้ำหวานมาก คลอดก่อนกำหนด

คุณแม่หลายท่านคงทราบแล้วว่า การคลอดก่อนกำหนดหมายถึงการเจ็บครรภ์ และคลอดตั้งแต่สัปดาห์ที่ 28 ถ้าประเทศที่พัฒนาแล้ว นับเริ่ม ที่ 20 จากประจำเดือนวันแรกของครั้งสุดท้าย จนถึงก่อนครบสัปดาห์ที่ 37 ซึ่งเป็นปัญหา และภาวะแทรกซ้อนที่เป็นสาเหตุการตายปริกำเนิด และทุพพลภาพของทารกพบได้ไม่ต่ำกว่า 2/3 ในประเทศเรา ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับประเทศ
สำหรับสาเหตุของปัญหามีหลายอย่าง แต่ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หรือหลีกเลี่ยงลำบาก เช่น ครรภ์เป็นพิษ ครรภ์แฝด รกลอกตัวก่อนกำหนด IUGR (ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์) การติดเชื้อที่ปากมดลูก เช่น เชื้อพยาธิ Trichomonas หรือ Chlamydia (หนองในเทียม) ก็ให้คุณหมอดูแลไป
ส่วนปัจจัยหรือสาเหตุที่ตัวเราเองควบคุมได้ เรามาช่วยกันดูแลเพื่อลดปัญหาตั้งแต่ระดับลูกเราจนถึงระดับชาติเลย โดยเฉพาะเรื่องไลฟ์สไตล์ของคุณแม่ เราพบว่าการคลอดก่อนกำหนดพบมากในคุณแม่ที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง อายุน้อย ไม่อยากมีบุตร เครียด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการฝากครรภ์ ฯลฯ นั่นก็สมเหตุสมผล
แต่ท่านทราบไหมว่า การดื่มเครื่องดื่มหวานบ่อยๆ นี่ก็เป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนดได้ โดยเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผลวิจัยในคุณแม่ตั้งครรภ์ชาวนอร์เวย์ 60,761 คน รวบรวมผลตั้งแต่ปี 1999-2008 พบว่า 3,281 คน (5.4%) ที่คลอดก่อนกำหนด มีอยู่ 25% ดื่มเครื่องดื่มหวานทุกวัน และยิ่งถ้าเป็นคนอ้วนอยู่แล้วพบว่าคลอดก่อนกำหนดเพิ่มเป็น 30% เมื่อเทียบกับคุณแม่ที่ไม่ดื่มน้ำหวานเลย

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

ค้นพบโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์

รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการถ่าย ทอดเทคโนโลยี ม.ขอนแก่น และทีมคณะแพทย์ ม.ขอนแก่น เผย "โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์" โรคใหม่ที่คนเอเชียเป็นกันมาก ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในโลกโดยทีมแพทย์ ม.ขอนแก่น
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ม.ขอนแก่น กล่าว ว่า คนทั่วไปมักเข้าใจว่าโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจะต้องเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์เท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ อย่างโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ ถือเป็นโรคใหม่ที่วงการแพทย์เพิ่งค้นพบ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ได้วิจัยร่วมกันระหว่างแพทย์จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ คือ ประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน ที่ร่วมมือกันศึกษาวิจัยในเรื่องโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่โรคเอดส์ ผลการศึกษาในครั้งนี้เปรียบเหมือนกุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้การรักษาของหมอเป็นไปอย่างถูกทิศทาง แม่นยำ ช่วยชีวิตผู้ป่วยให้รอดพ้นจากโรคร้ายได้ นอกจากนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์หลาย ฉบับที่ได้รับการอ้างอิงเป็นที่ ยอมรับสูง
ด้านศาสตราจารย์แพทย์หญิง เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ใน ฐานะหัวหน้าทีมวิจัย "โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์" กล่าวว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ ถือเป็นโรคค้นพบใหม่ อาการทางคลินิกต่างจากโรคเอดส์รวมถึงมีความคล้ายคลึงกับโรคพุ่มพวง หรือโรคเอสแอลอี โดยโรคเอดส์เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเอชไอวี ซึ่งเอชไอวี จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง แต่ว่าในผู้ป่วยเอชไอวีภูมิคุ้มกันจะสูญเสียไปมาก
ดังนั้นการติดเชื้อฉวยโอกาสจะมีโอกาสได้หลายอย่างมากกว่า และภูมิคุ้มกันบกพร่องมากกว่าเชื้อฉวยโอกาสที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือเชื้อ วัณโรค รองลงมาก็จะเป็นพวกเชื้อราต่าง ๆ ในผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์นี้ ไม่ได้ติดเชื้อวัณโรค เป็นอันดับหนึ่งที่ส่วนใหญ่จะเจอได้น้อย
ส่วนโรคพุ่มพวงมีความเหมือนกับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ คือร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้งเซลล์ของตัวเองเหมือนกัน แต่ว่าโรคพุ่มพวงนั้น ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้มายับยั้งเซลล์พวกไต ทำให้ไตผิดปกติไม่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ แต่โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้ง อินเตอร์เฟรอนแกรมมาของตัวเอง สร้างขึ้นมาทำลายเซลล์ของตัวเองเช่นกัน ทั้งนี้พบว่าโรคนี้ส่วนใหญ่จะพบมากในชาวเอเชีย ประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับวิธีออกกำลังกายอย่างไร..ให้อายุยืน

ใช่ว่าเดินวิ่งไปวันๆ แล้วจะมีสุขภาพดีอายุยืน เรามีเคล็ดลับมาบอกให้วันคืนของคุณยาวไปอีกนาน
ขึ้นบันได
ในปี 2008 การศึกษาจากสวิสเซอร์แลนด์เปิดเผยว่าคนที่มีชีวิตเฉื่อยชาแต่เปลี่ยนจากการ ขึ้นลิฟต์เป็นการขึ้นบันไดนั้น จะลดโอกาสเสียชีวิตก่อยวัยอันควรได้ถึงร้อยละ 15  นอกจากนี้ ยังเคยมีข้อมูลจาก Harvard Alumni Health Study บ่งบอกว่า การขึ้นบันไดมากกว่าเดิม 35 ชั้นต่อสัปดาห์ จะช่วยเพิ่มอายุขัยได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับคนที่ขึ้นพียง 10 ชั้น (เมื่อแบ่งก็จะเป็นวันละ5ชั้น/สัปดาห์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขึ้นติดๆ กันก็ได้)
ปั่น…ให้เร็วขึ้น
การปั่นจักรยานไปจ่ายตลาดเป็นอีกวิธีที่หากคุณอยากออกกำลังกายกลางแจ้ง แถมยังประหยัดเงินค่ารถ แต่การปั่นจักรยานตามสบาย แม้คุณจะเหงื่ออก แต่ก็ไม่ช่วยเรื่องอายุขัย เท่ากับการที่คุณตั้งหน้าตั้งตาปั่นเร็ว เคยมีการศึกษาจากโคเปนเฮเกนพบว่า กลุ่มชายที่ปั่นจักรยานเร็วที่สุดนั้นจะมีอายุขัยยืนยาวกว่าชายที่ปั่น จักรยานช้าถึง 5 ปี ส่วนในกลุ่มผู้หญิงนั้นความแตกต่างมีถึง 4 ปี
ไปว่ายน้ำกันเถอะ
ในปี 2009 จากการศึกษาจาก Aerobis Center Longitudinal Study พบว่าคนที่ว่ายน้ำเป็นประจำจะมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าชายอายุเท่ากันที่ไม่ ออกกำลังกายถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ นักว่ายน้ำยังมีอายุขัยสูงกว่าชายที่เดินหรือวิ่งเป็นการออกกำลังกายด้วย
เดิน ฉับ ฉับ ฉับ!
จังหวะเดินเร็ว ไม่ใช่ตัวชี้ว่าคุณจะมีอายุยืนยาวรึเปล่า  จังหวะการเดินของคุณนั้นถูกเลือกโดยร่างกายของเรามาแล้วว่าเดินอย่างนี้แหละ เหมาะกับคุณแล้ว เพียงแต่คุณอาจจะอยากเดินเร็วขึ้นอีกสักนิด เพราะเคยมีการศึกษาชี้ว่าคนเดินเร็วนั้นมีชีวิตยืนยาวกว่าคนเดินช้า
ออกกำลังกาย 15 นาที
บางคนเชื่อว่าการออกกำลังกายนั้นต้องใช้เวลาถึง 30 นาที จึงจะได้ประโยชน์ แต่หลายคนประสบปัญหาว่าไม่มี 30 นาทีนั้น ความจริงคือการออกกำลังเพียง 15 นาทีต่อวัน ก็จะช่วยยืดอายุขัยได้มากถึง 3 ปีแล้ว
เพิ่มความแรง
เดินให้เร็วขึ้นหรือปั่นจักรยานให้ไวขึ้นก็ล้วนแต่มีธีมหลักคือความเข้ม ข้นของการออกกำลังกาย โดยรวมแล้วการออกกำลังกายอย่างหนัก (Vigorous Activities) จะช่วยให้อายุขัยของคุณยืนยาวได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบเบาๆ ยกตัวอย่างเช่น การเดินเพียง 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์ จะช่วยให้อายุขัยยืนขึ้นตั้งแต่ 1.3-1.5 ปี แต่การวิ่งประมาณ 30 นาที ในความถี่เดียวกันจะช่วยเพิ่มอายุขัยถึง 3 ปี

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามดาร

6 วิธีผ่อนคลายแบบง่ายๆ

เพื่อให้คุณ สดชื่น สดใสได้ทุกวัน

 เพราะ ความเครียดเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา การหาวิธีผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด จึงมีความจำเป็น วันนี้จึงมีวิธีผ่อนคลายง่ายๆมากฝากกัน

การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า จะทำให้ผิวหน้าดูสดใส : ให้เอาปลายนิ้วมือแตะที่ปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ ค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้น จะส่งผลทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะและใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นด้วย

ฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าไม่ให้แก่ก่อนวัย : หายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวไม่ไห้แก่ก่อนวัยและลดรอยหมองคล้ำ

กินส้มช่วยแก้อาการเซ็ง : สาเหตุก็เพราะ การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายเครียดลงได้ดีออกมาด้วย

กินช็อกโกแลต ช่วยลดอาการแก้ไอ : สาเหตุก็เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อกโกแลตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท ชื่อเวกัสเนอร์ที่ทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล

กินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลัง : สาเหตุก็เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียก็เพราะ กรดในเลือดสูงร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดของคนเรา การกินบ๊วยจึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้

กินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น : สาเหตุก็เพราะ ในเนยมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพันซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น



ที่มา : โซดาดอทคอม

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เด็กกินฟาสต์ฟู้ดมีเชาวน์ปัญญาต่ำ สู้เพื่อนกินอาหารที่ปรุงขึ้นใหม่ไม่ได้

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่ง ลอนดอน ศึกษาพบว่าเด็กที่โตขึ้นมาด้วยอาหารฟาสต์ฟู้ด จะมีระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่าเพื่อนที่กินอาหารที่ปรุงขึ้นใหม่ไม่ได้
พวกเขาได้พบว่าโภชนาการในวัยเด็กจะมีผลต่อระดับสติปัญญาเด็กอยู่อย่างยืนนาน
นักวิจัยจะได้ศึกษาจากเด็กสกอต วัยระหว่าง 3-5 ขวบ จำนวน 4,000 คน เพื่อจะดูว่าอาหารหลักที่เด็กกินในแต่ละวันอย่างไหน ที่มีผลต่อสติปัญญาและความเติบโตของเด็ก
หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า “โดยสามัญสำนึก เรารู้ว่าแบบของอาหารที่กิน จะต้องมีผลกับการพัฒนาสมอง การวิจัยครั้งนี้จะหาหลักฐาน เพื่อเอามาสนับสนุนการรณรงค์ เพื่อจะให้เด็กลดการบริโภคฟาสต์ฟู้ดให้น้อยลง” และเสริมว่า การศึกษาที่แล้วมา แสดงว่าอาหารที่ปรุงใหม่และมีคุณภาพ สำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่ทำให้แค่อิ่มได้แค่นั้น โดยเฉพาะในช่วงที่เด็กยังอ่อนและพัฒนาอยู่

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เตือนภัยเงียบ “โรคซึมเศร้า” ทุกวัยมีสิทธิ์ป่วย

 
               สธ. เผยโรคซึมเศร้า ภัยเงียบคุกคามสุขภาพ คาดจะกลายเป็นปัญหาอันดับ 1 ของโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า เตือนมีสิทธิ์ป่วยทุกวัย ระบุคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปป่วยแล้วกว่า 1.5 ล้านคน  แต่เข้าถึงการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 4 เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ คาดแนวโน้มมีเพิ่มจาก 5 กลุ่มเสี่ยง  ชี้โรคนี้เสี่ยงฆ่าตัวตายจบชีวิตสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไป 20 เท่าตัว พร้อมแนะให้ประชาชนออกกำลังกาย  ป้องกันได้     
 
              เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ จังหวัดนครราชสีมา นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์คำรณ ไชยศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบบริการดูแลปัญหาสุขภาพจิตประชาชนของโรงพยาบาล ปักธงชัย อ.ปักธงชัย และได้เยี่ยมชมการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคทางกายและทางจิตด้วยดนตรีบำบัด ของโรงพยาบาลครบุรี อ.ครบุรี เพื่อใช้รักษาการเจ็บป่วยทางกายและโรคทางจิต เช่นโรคซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ ทำให้การไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวิตกกังวล สร้างสมาธิ ร่วมกับการรักษาด้วยยา ส่งผลให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น  
 
               นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า  วันที่ 10 ตุลาคม ทุกปี  องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) ในปีนี้เน้นเรื่อง"ภาวะซึมเศร้า: วิกฤตโลก" (Depression: A Global Crisis)  เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกเร่งรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นภัยเงียบของสุขภาพ เป็นได้ทุกวัย หากไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลกระทบรุนแรง ทำงานหรือเรียนหนังสือไม่ได้ กลายเป็นภาระการดูแลรักษาอันดับ 1 ของทั่วโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า หรือในพ.ศ.2573 ล่าสุดนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากกว่า 350 ล้านคน ผู้หญิงป่วยมากกว่าผู้ชาย ในจำนวนนี้เข้าถึงบริการรักษาเพียง 1 ใน 10  ส่วนในไทย จากข้อมูลของศูนย์โรคซึมเศร้าไทย กรมสุขภาพจิต รายงานว่าขณะนี้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 2 ของประชากรทั้งหมด สังคมไทยยังให้ความสำคัญโรคนี้น้อย ส่วนใหญ่เข้าใจว่าผู้ป่วยโรคนี้เป็นคนบ้า และจากข้อมูลการให้บริการของสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 100 คนเข้าถึงบริการได้รับการวินิจฉัยและรักษา 28 คนเท่านั้น   
 
              นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า จากการศึกษาพบว่า โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุถึงร้อยละ 70 ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และต้องทรมานในภาวะไร้สมรรถภาพมากเป็นอันดับ 3 ในหญิงไทย รองจากโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรงจะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าคนทั่ว ไปถึง 20 เท่า   
 
              "ในการป้องกันแก้ไขและลดความสูญเสียจากโรคซึมเศร้า ในปี 2556 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นนโยบายบริการเชิงรุก 3 มาตรการหลักได้แก่  1.ให้กรมสุขภาพจิตเร่งรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค ซึมเศร้า ว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่บ้าและรักษาหาย  2.ขยายบริการการรักษาโรคนี้ลงในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง ซึ่งโรคนี้รักษาได้ง่ายๆด้วยยาเพียงเม็ดเดียว กินวันละครั้ง ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และต้องกินยาติดต่อกันนาน 6 เดือน จะสามารถป้องกันการกลับซ้ำได้ดีมาก และ3.กระตุ้นให้ประชาชนออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงและมีเหงื่อ เช่นวิ่ง ปั่นจักรยานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากจะทำให้สมองหลั่งสารต้านเศร้า ซึ่งมีชื่อว่าเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ทำให้มีความสุข รู้สึกสบาย คลายความเครียดกังวลได้ดี" นายแพทย์สุรวิทย์กล่าว                                                                                        
 
               ด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้กรมสุขภาพจิต ได้จัดระบบเฝ้าระวังโรคซึมเศร้าระดับจังหวัด โดยอบรมแพทย์ พยาบาลวิชาชีพกว่า 5,000 คน และอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เร่งค้นหาผู้ที่มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าใน 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1.ผู้ป่วยโรคทางกายเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง ไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง 2.ผู้สูงอายุ 3.หญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด 4.ผู้ติดสุราและสารเสพติด 5.ผู้สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมากหรือสูญเสียคนรัก ทั้งในภาวะปกติทั่วไปและประสบอุบัติภัยต่างๆเช่นน้ำท่วม เป็นต้น โดยการคัดกรองหาผู้ที่มีความเศร้าในชุมชนต่างๆ และโรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องโดยการรักษาด้วยยาหรือจิต บำบัด ตั้งเป้าจะเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ที่มีปัญหาให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70  ซึ่งจะช่วยให้สามารถป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายได้ด้วย
 
               นายแพทย์วชิระกล่าวต่อว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบมากที่สุด เป็นโรคของสมอง เกิดจากความบกพร่องของสารสื่อประสาท ส่งผลให้มีภาวะผิดปกติทั้งร่างกายและจิตใจ  อาการที่เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้า ได้แก่ มีอารมณ์เศร้า ท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวังอย่างรุนแรง อาการเกิดตลอดวัน ทำอะไรก็ไม่เพลิดเพลิน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการเบื่อหน่าย หมดความสนใจในงาน การเรียนหรือกิจกรรมที่ทำอย่างมาก หากพบผู้ใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ต้องพาไปพบจิตแพทย์  
 
               ทั้งนี้ การป้องกันการเกิดโรคทางจิต หากประชาชนที่มีปัญหาเครียด  ไม่สบายใจ  นอนไม่หลับ ไม่ควรเก็บปัญหาไว้คนเดียว  ควรระบายปัญหาออก เช่น ปรึกษาผู้ที่ไว้วางใจที่สุดเพื่อหาทางออก ช่วยกันดูแลสมาชิกในครอบครัวสอบถามทุกข์สุข ทำกิจกรรม เช่น ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที จะสามารถคลี่คลายปัญหาสุขภาพจิตได้ดีมาก โดยร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ทำให้นอนหลับสนิททุกวัน และที่สำคัญไม่ควรใช้สารเสพติดหรือดื่มสุราดับทุกข์  เนื่องจากจะทำให้เกิดการเสพติด  นอกจากนี้สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 และ 1667 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

‘นมแม่’ ดีที่สุด ภูมิคุ้มกันที่ลูกควรได้รับ

สังคมไทยและสังคมโลก ในทุกวันนี้ หากใครก็ตามอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข หรือเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเข้ามาหาตนเอง สิ่งแรก และสิ่งเดียว ที่ ทุกคนจะต้องคำนึงถึงคือ “ภูมิคุ้มกัน”
เพราะในสังคมของมนุษย์ทุกหนทุกแห่งจะเต็มไปด้วยภัยอันตราย ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น ดังนั้น คนทุกคนจึงต้อง “มีภูมิคุ้มกัน” เอาไว้ป้องกันตัวเอง และในกระบวน ภูมิคุ้มกัน (มนุษย์) ที่ดีที่สุด และหาได้ง่ายที่สุด ตั้งแต่แรกเกิด คือ “นมแม่”
“นมแม่” นับเป็นสิ่งสำคัญที่ลูกๆ ควรได้รับตั้งแต่แรกเกิด เพราะมีการวิจัยว่าคุณค่าสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำนมแม่นั้นมีมากกว่า 200 ชนิด ที่เป็นภูมิคุ้มกันชั้นยอดต่อการช่วยปกป้องลูกจากการเจ็บป่วย...แต่ปัจจุบัน นี้ยังมีคุณแม่มือใหม่ที่มีความเชื่อว่านมผงสามารถทดแทนนมแม่ได้ไม่แพ้กัน
มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดกิจกรรม “สัปดาห์นมแม่โลก 2555 ช่วยเด็กไทยให้ได้กินนมแม่” เพื่อรณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวตลอด 6 เดือนแรก
พญ.ศิริพร กัญชณะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าว ว่า “นมแม่มีความสำคัญต่อลูกตั้งแต่แรกเกิดมาก เพราะมีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ส่วนนมผงมีการเติมสารอาหารลงไปเพียง 6 ชนิดเท่านั้น ดังนั้นนมแม่จึงมีสารอาหารมากกว่านมผงหลายเท่า และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มให้กับลูกได้ เช่น สารไลไซซายม์ สาร secretarylgaสาร prebiotic(oligosaccharide) สาร glycan เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้ร่างกายของแม่สามารถผลิตใหม่ได้ทุกวัน ดังนั้น ควรให้ลูกได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวครบ 6 เดือน เพื่อให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ เช่น ท้องเสีย ปอดบวม โรคลำไส้อักเสบ ภูมิแพ้ ภาวะอ้วน และการเสียชีวิตในที่สุด”
ล่าสุด ครม.ได้เห็นชอบมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับ ทารกและเด็กเล็ก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอมาให้พิจารณา
ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวณิช ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงว่า บริษัทนมผงได้ทำการตลาด เช่น การโฆษณาที่ทำให้แม่เข้าใจผิดว่า “นมผงมีคุณค่าทดแทนนมแม่ได้” หรือ “การแจกผลิตภัณฑ์นมผง” ให้แก่แม่หลังคลอดในโรงพยาบาล สถานบริการของรัฐ ทั้งๆ ที่บริษัทรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด และอีกอย่างคือ แม่ไม่ได้รับคำแนะนำและช่วยเหลือวิธีให้นมแม่และคุณประโยชน์ของนมแม่ที่ลูก ควรได้รับอย่างถูกต้องตั้งแต่ตั้งครรภ์จนกระทั่งหลังคลอด ทำให้แม่ส่วนใหญ่หันมาให้ลูกกินนมผงแทน ส่งผลให้ลูกไม่ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าตั้งแต่เริ่มต้น จึงอยากให้ตระหนักว่า “นมผงนั้นไม่ใช่สินค้าอันตราย แต่นมแม่มีคุณค่ามากกว่านมผง”
ด้านคุณแม่มือใหม่ ปอ-ปุณยวีร์ สุขกุลวรเศรษฐ์ พิธีกรชื่อดัง และผู้จัดรายการ 30 ยังแจ๋ว ทางโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่ง ถือเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ทำงานนอกบ้านเป็นประจำ แต่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองได้ตั้งแต่แรกเกิด เปิดเผยให้ทราบว่า “ปอเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองตั้งแต่ลูกเกิดเลยจนถึงตอนนี้ลูกอายุ 1 ขวบ 3 เดือนก็ยังให้กินนมตัวเองอยู่ ลูกมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจารย์ที่สอนพัฒนาการสมองลูก จากศูนย์พัฒนาศักยภาพสมองเด็ก 6 เดือน ถึง6 ขวบ หรือเบบี้ส์ จีเนียส (Baby genie) ที่ได้ส่งลูกไปเรียน อาจารย์เล่าให้ฟังว่าลูกมีความจำที่ดีมาก ไม่ว่าสอนอะไรเขาจำได้เร็ว เพราะการให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดนี่เอง และที่สำคัญไปกว่านั้นลูกยังมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายเหมือนเด็กคนอื่นๆ ด้วย”
คุณแม่ปอ ยังบอกด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอีกว่า ตอนที่ยังไม่คลอดลูก มีความกลัวมากว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองไม่ได้ เพราะกลัวไม่มีน้ำนมเพียงพอจนถึง 6 เดือน จึงได้ขอคำแนะนำจาก คุณ เอ้-อังสณา วงศ์ศิริ พยาบาลวิชาชีพชำนาญเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ และเฟซบุ๊ค ชุมชนนมแม่ออนไลน์ เนื่องจากตอนนั้นไม่รู้ว่าจะขอคำปรึกษาใคร เลยไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนตแล้วพบกับเฟซบุ๊คของคุณเอ้ จึงเข้าไปขอคำปรึกษา
 “คุณเอ้ได้ให้คำแนะนำที่ดีในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างการปั๊มนมให้ลูก ปั๊มนมได้น้อยมากนมออกมาทีละนิด ละน้อย พี่เอ้ก็มาสอนเทคนิคว่าจะทำอย่างไรให้ได้เยอะ คือต้องเริ่มต้นปั๊มนมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยปั๊มให้ได้วันละ 8-10 ครั้ง ยิ่งปั๊มได้บ่อยแค่ไหน ก็จะยิ่งทำให้เต้านมผลิตน้ำนมได้มากขึ้น ในที่สุด ตอนนี้สามารถปั๊มนมให้ลูกในจำนวนที่ต้องการได้ ถ้ามีคนอื่นมาถามเกี่ยวกับการเลือกนมให้ลูกก็จะบอกไปเลยว่าให้ลูกกินนมแม่ดี ที่สุด ถ้าคุณอยากให้ลูกได้รับสิ่งดีๆ ที่เปรียบเหมือนการมอบมรดกให้ลูก คือ การที่ลูกมีสุขภาพแข็งแรง ภูมิต้านทานที่ดี และพัฒนาการที่สมวัย ก็ควรให้ลูกกินนมแม่” แม่ปอ กล่าวอย่างมีความสุข
ได้ยินได้ฟัง และได้พบเห็นมาอย่างนี้ เชื่อว่า คุณแม่ (มือใหม่) อีกหลายๆ คน คงจะหยุดคิดได้สักนิดว่า หากรักลูกอยากหา “ภูมิคุ้มกันให้กับลูกไปจนตลอดชีวิต อย่าลืมที่จะนึกถึง “นมแม่” เพื่อลูกจะได้รับสิ่งดีๆ ทั้งความฉลาด พัฒนาการที่สมวัย สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งทุกอย่างต้องเริ่มจากสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนคือ นมแม่

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

5 วิธีสร้างนิสัยรักการอ่านในเด็ก

5 วิธีสร้างนิสัยรักการอ่านในเด็ก

1. สร้างบรรยากาศให้อยากอ่านหนังสือ
บรรยากาศที่เงียบสงบ  ร่มรื่น  เย็นสบาย  ไม่ร้อน อากาศถ่ายเทได้ดี จะช่วยสร้างบรรยากาศให้อยากอ่านหนังสือ และเป็นการเรียกสมาธิจากการอ่านได้อย่างดี
2. อ่านหนังสือให้เด็กฟัง
การอ่านหนังสือให้เด็กฟังก่อนนอน และมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ  จะช่วยกระตุ้นความอยากรู้ของเด็กต่อเนื้อหาในหนังสือมากยิ่งขึ้น
คนที่ชอบอ่านหนังสือในห้องนอน  สะท้อนถึงการชอบนอนอ่านและความเป็นส่วนตัว   สำหรับผู้ที่มีบุตรหลานใช้โอกาสก่อนเข้านอนเล่านิทานให้บุตรหลานฟัง หรือใช้เวลาสำหรับการอ่านหนังสือร่วมกัน โดยนิทานที่อ่านให้บุตรหลานฟัง มีทั้งนิทานพื้นบ้าน นิทานอีสป
หากเป็นหนังสือสำหรับเด็ก จะมีเนื้อหาที่ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์  เกี่ยวกับสุขลักษณะนิสัย และพฤติกรรมของเด็ก  เช่น  หมีน้อยไม่ยอมสระผม  หนูนิดไม่อยากไปโรงเรียน  หนูนิดไม่ชอบทานผัก     ช้างขี้โมโห   ร่างกายของฉัน    และส่วนใหญ่นิทานที่ผู้ปกครองเลือกมาเล่าหรืออ่านให้ฟัง จะเป็นนิทานสำหรับเด็ก เสริมสร้างจินตนาการ  สร้างเสริมลักษณะนิสัย  ความสัมพันธ์ในครอบครัว และสอดเทรกเนื้อหาสอนใจให้กับเด็กๆ ด้วย  เช่น  กระต่ายกับเต่า  เด็กเลี้ยงแกะ  ลูกหมูสามตัว   สโนวไวท์    และในจำนวนนิทานที่เล่าให้เด็กฟังพบว่ามีนิทานเรื่องพระเวสสันดร  สุวรรณสาม  รามเกียรติ์  ที่เป็นวรรณคดีไทยรวมอยู่ด้วย
3. ส่งเสริมให้เด็กพกหนังสือติดกระเป๋าตลอดเวลา  เพื่อให้เด็กหยิบมาอ่านได้ทันทีเมื่อมีเวลาว่าง
สำหรับเด็กเพิ่งเริ่มอ่านให้เริ่มต้นจากหนังสือภาพที่เนื้อหาสั้น เข้าใจง่าย  มีภาพสวยงาม และเด็กเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง  โดยผู้ปกครองอ่านให้ฟัง สลับกับให้เด็กอ่านให้ผู้ปกครองฟังจนกระทั่งเด็กสามารถอ่านได้ด้วยตนเอง
4. เล่านิทานประกอบกิจกรรม
ผู้ปกครองควรอ่านออกเสียงและให้เด็กอ่านตาม พร้อมทำกิจกรรมในหนังสือ เช่น วาดรูประบายสี    ทำท่าทางประกอบการเล่า    ปิดไฟ ส่องเพดานเล่าประกอบกับเงา
5. พาเด็กไปร้านหนังสือ  และให้โอกาสในการเลือกซื้อหนังสือด้วยตัวเอง    หากมีงานเทศกาลเกี่ยวกับหนังสือก็พาเด็กไปร่วมเพื่อให้เห็นบรรยากาศของการ อ่าน

ที่มา : ไทยคิดส์

นอนหงายดีสำหรับผู้หญิง

นอนหงายดีสำหรับผู้หญิง


         ถ้าเป็นคุณย่าคุณยายสมัยโบราณจะ พร่ำสอนว่า เกิดเป็นหญิงนั้นต้องรู้จักท่านั่งท่านอนให้เป็นกุลสตรี โดยเฉพาะท่านอนหงาย นั้น "ห้าม" เด็ดขาดเพราะไม่งาม แต่มาวันนี้นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาออกมาแนะนำว่า
ผู้หญิงควรจะนอนหงายหรือให้แผ่นหลังราบไปกับที่นอนดีที่สุด เพราะการนอนตะแคงจะทำให้หน้าอกของสาวๆ หย่อนคล้อยเสียรูปได้ ในขณะที่นอนคว่ำก็จะมีผลต่อการหายใจ และไม่เหมาะกับสุขภาพ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

คนไทย 1 ใน 3 ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมเหตุพฤติกรรม "นั่งยอง-ไขว่ห้าง"

คนไทย1ใน3ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมเหตุพฤติกรรม"นั่งยอง-ไขว่ห้าง"

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.)แถลงข่าว"โครงการปลดทุกข์ด้วยรอยยิ้ม โถห้อยขาเสริมสุขผู้สูงวัย" พร้อมรับมอบโถส้วมห้อยขอจากมูลนิธิเอสซีจีจำนวน 840 โถมูลค่า 1.3 ล้านบาท เพื่อมอบให้ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ว่าขณะนี้คนไทยใช้ส้วมนั่งยองในบ้านเรือนมากถึงร้อยละ 86 หรือประมาณ 17 ล้านหลังคาเรือน
จากการศึกษาพบว่า การใช้าส้วมนั่งยองมีผลเสียต่อสุขภาพ โดยผิวข้อเข่าเสื่อม ซึ่งโรคนี้เป็นแล้งจะทุกข์ทรมาน รักษาไม่หายขาด ลุกนั่งเดินลำบาก สธ.จึงรณรงค์ให้คนไทยใช้ส้วมชนิดเป็นโถนั่ง (ส้วมห้อยขา) แทนการใช้ส้วมนั่งยอง และส่งเสริมให้มีส้วมแบบโถห้อยขาใช้ในบ้านและสถานที่สาธารณะตั้งเป้าให้บ้าน เรือนส้วมชนิดเป็นโถนั่งร้อยละ 50 ในปี  2556 และครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2558  ส่วนสถานที่สาธารณะให้มีร้อยละ 90 ภายในปี 2558 โดยในปีแรกมีเป้าหมายพัฒนาส้วมสาธารณะในสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน เชื้อเพลิง โรงพยาบาล และสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง
ด้าน ภญ.กุสุมา ไตรวิทยานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิโรคข้อในพระราชูปถัมถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาน สยามบรมราชกุมารีกล่าวว่า จาก สถิติพบคนไทย 1 ใน 3 มักจะป่วยด้วยโรคข้อ โดยเฉพาะโรคข้อเข่าเสื่อมซึ่งพบได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้โรคข้อเข่าเสื่อมไม่ได้จำกัดว่าเป็นโรคเฉพาะของผู้สูงอายุแล้ว เท่านั้น แต่สามารถพบได้ทุกวัย เนื่องจากโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากพฤติกรรม โดยคนทีอายุน้อยกว่า 30 ปีพบว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมเพียงร้อยละ 1 อายุน้อยกว่า 40 ปี พบร้อยละ 10 และอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบมากถึง ร้อยละ 50
"พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สามารถก่อให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้นั้นมี มาก ทั้งการนั่งที่ไม่ถูกวิธี ทำให้ปวดหลังปวดไหล่ อาทิ การนั่งยอง นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งไขว่ห้างซึ่งจะกลายเป็นการทำร้ายข้อโดยไม่รู้ตัว ทำให้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น อาการที่สังเกตได้ชัดว่าเป็นข้อเข่าเสื่อมคือ นั่งยองแล้วไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดังนั้นคนไทยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดข้อเข่าเสื่อม"ภญ.กุสุมากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วัยรุ่นไทยมีเซ็กซ์ครั้งแรกอายุ 15 ปี เมินถุง-ท้องก่อนวัย-ติดโรคทางเพศพุ่ง

สธ. พบหญิงไทยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุ 15-16 ปี ก่อให้เกิดปัญหาท้องก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการป้องกันและเสี่ยงต่อโรคทางเพศสัมพันธ์สูง
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ สัมภาษณ์เกี่ยวกับการวางแผนพัฒนาคุณภาพประชากรไทยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพประชากรไทยทุกกลุ่มอายุ ซึ่งปัจจุบันไทยประสบปัญหาทั้งด้านจำนวนและคุณภาพประชากร โดยโครงสร้างประชากรมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากประสบผลสำเร็จในการวางแผนครอบ ครัวตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ทำให้อัตราการเพิ่มของประชากรลดลง ล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2553 มีเพียงร้อยละ 0.5 หญิง ไทยมีบุตรโดยเฉลี่ย 1.5 คน ซึ่งต่ำกว่าอัตราทดแทนคือพ่อแม่รวม 2 คน ทำให้ประชากรวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง ในอนาคตอาจจะต้องนำเข้าแรงงานที่มีคุณภาพจากต่างประเทศมาทดแทน ในขณะเดียวกันประชากรสูงอายุกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นและก้าวสู่สังคมของผู้สูง อายุ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 12 ของ ประชากรทั้งประเทศ
ประการสำคัญยังมีปัญหาคุณภาพวัยรุ่นที่จะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตจากพฤติกรรม เสี่ยงทางเพศที่ไม่ได้ป้องกัน เนื่องจากวัยรุ่นไทยในปัจจุบันมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุน้อยลงเรื่อยๆ จากอายุ 18-19 ปี เมื่อ พ.ศ. 2539 เป็นอายุ 15-16 ปี เมื่อ พ.ศ. 2552 อัตราการคลอดบุตรของวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี เพิ่มจาก 50.3 เมื่อ พ.ศ. 2548 เป็น 54.9 ต่อกลุ่มหญิงอายุ 15-19 ปี ทุกๆ 1,000 คน เมื่อปี 2554
วัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกใช้ถุงยางอนามัยไม่ถึงร้อยละ 40 ทำให้อัตราป่วยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในเยาวชนอายุ 15-24 ปี สูงขึ้นจาก 23.5 เมื่อ พ.ศ. 2545 เป็น 79.8 ต่อประชากรวัยนี้ทุก 100,000 คน เมื่อ พ.ศ. 2553 ต้นเหตุปัญหามาจากการขาดความรู้ เช่น ความเข้าใจผิดคิดว่าร่วมเพศครั้งเดียวไม่ตั้งครรภ์ การใช้ถุงยางอนามัยขัดขวางความรู้สึกทางเพศ เป็นต้น