วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สธ.เข้ม กันไข้เลือดออก ตายแล้ว 59 คน

รมว.สธ. สั่งเข้มป้องกันโรคไข้เลือดออก ที่ระบาดหนักขึ้น ชี้ มีคนเสียชีวิตแล้ว 59 ราย ในปีนี้
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว ว่า ในช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง และเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว หลายพื้นที่มีอุณหภูมิลดลง อากาศเริ่มหนาวเย็น ทำให้ประชาชนเสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกัน หลายพื้นที่ของภาคใต้ ก็ยังคงมีฝนตกประปรายจน ถึงหนักมาก ทำให้เกิดแอ่งน้ำขัง หรือมีน้ำขังอยู่ตามเศษวัสดุ เศษภาชนะต่างๆ จานรองกระถางต้นไม้ และกาบใบไม้ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์อย่างดีของยุงลาย อาจทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เร่งควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้ ได้กำชับทาง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ให้เร่งรัดมาตรการปราบยุงลาย
ดร.น.พ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว เสริมว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะภาคใต้ที่มีสภาพอากาศแบบฝนตกประปรายเกือบตลอดทั้งปี และในช่วงนี้หลายพื้นที่อาจเกิดฝนตกหนัก หลังจากฝนตกก็จะเกิดแอ่งน้ำขังหรือน้ำขังตามภาชนะต่างๆ กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงได้โดยทั่วไป ยุงลายจะวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง ซึ่งเป็นน้ำนิ่ง ใส และสะอาด ซึ่งน้ำฝนมักเป็นน้ำที่ยุงลายชอบวางไข่มากที่สุด จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกของ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-16 ตุลาคม 2555) พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกสะสม จำนวน 52,008 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 81.42 ต่อประชากรแสนคน และมีผู้เสียชีวิต 50 ราย เมื่อแยกเป็นรายภาคที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุด ได้แก่ ภาคกลาง จำนวน 20,600ราย รองลงมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14,347 ราย ภาคเหนือ 9,076 ราย และสุดท้าย ภาคใต้ 7,985 ราย ตามลำดับ แต่เมื่อคิดจากอัตราป่วยจะพบว่า ภาคกลาง มีอัตราป่วยมากที่สุด คือ 95.27 ต่อประชากรแสนคน รองลงมากลับเป็น ภาคใต้ ที่ 89.79 ต่อประชากรแสนคน ส่วนตลอดทั้งปี 2554 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศมีผู้ป่วย จำนวน65,971 ราย เสียชีวิต จำนวน 59 ราย

ห้าม ขรก.กินปลาร้าดิบ เสี่ยงโรคพยาธิใบไม้ในตับ

ที่ จ.เลย นายแพทย์วิวรรธน์ ก่อวิริยกมล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย เปิดเผยว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย คาดโทษข้าราชการ/ลูกจ้าง สังกัดกระทรวงสาธารณสุข หากพบว่ารับประทานปลาดิบ เนื้อปลาร้าดิบ น้ำปลาร้าดิบ จะถูกลงโทษ เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ และมะเร็งท่อน้ำดีโรคพยาธิใบไม้ตับ เป็นพยาธิใบไม้ชนิดหนึ่งที่ตัวแก่อาศัยอยู่ในท่อน้ำดีของคน สุนัขและแมว พยาธิชนิดนี้มีความสำคัญทางสาธารณสุขมากกว่าพยาธิอื่นๆ ที่พบการระบาดในประเทศไทย เนื่องจากเป็นพยาธิชนิดเดียวในประเทศไทยที่องค์การอนามัยโลกยอมรับและจัดให้ เป็นเชื้อก่อมะเร็ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่น เป็นแหล่งที่มีอุบัติการณ์ของมะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในประเทศไทยและในโลก คือ 88 ต่อ 100,000 ในชาย และ 36 ต่อ 100,000 ในผู้หญิง ซึ่งถือว่าอันตรายอย่างมากหากไม่ใส่ใจกับการบริโภคอาหารต่างๆ
"ขอย้ำว่าข้าราชการและลูกจ้างสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน ในการรับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ต้องกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือทุกครั้ง โดยเฉพาะหากพบว่ามีการรับประทานปลาดิบ เนื้อปลาร้าดิบ น้ำปลาร้าดิบ จะถูกลงโทษทันที หากรักชีวิต ต้องเลิกกินปลาดิบทุกชนิด"
นอกจากนี้ยังได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนชาวจังหวัดเลยให้ระมัดระวังโรค หน้าหนาวในช่วงฤดูหนาวปีนี้ เนื่องจากช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศมีการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ที่มีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ อาจเจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย โดยเฉพาะโรคที่ต้องดูแลพิเศษคือ ไข้หวัดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด หัดเยอรมัน อุจจาระร่วง อีสุกอีใสและไข้หวัดนก จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ รักษาร่างกายให้อบอุ่นไม่กระทบอากาศร้อนหรือเย็นจนเกินไป
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก-ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ รักษาความสะอาดของร่างกาย ล้างมือบ่อยๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หมั่นสังเกตสุขภาพร่างกายของตนเอง และบุคคลในครอบครัว หากไม่สบายมีอาการคล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ อาจมีน้ำมูก น้ำตาไหล เด็ก-ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวมักมีอาการรุนแรง สังเกตได้จากหอบ หายใจลำบาก รีบพาไปรับการรักษาในสถานบริการสาธารณสุขทันที

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

อย.สั่งเรียกคืนกันแดดยี่ห้อดัง หลังมีข่าวอาจทำให้ไฟลุกไหม้ผิวหนังได้

    
หลังมีข่าวผู้บริโภคในสหรัฐและ แคนาดาใช้ครีมกันแดดยี่ห้อหนึ่ง แล้วได้รับอันตรายหลังเกิดติดไฟที่ผิวหนังและบริษัทผู้ผลิตเรียกเก็บคืนจาก ท้องตลาด ในส่วนของไทย อย.เร่งตรวจสอบการนำเข้าผลิตภัณฑ์สเปรย์ยี่ห้อดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พบว่า มีการนำเข้ามาในประเทศไทย เพียง 1 รายการ ขณะนี้ให้บริษัทเรียกเก็บคืนจากท้องตลาดแล้ว ขอผู้บริโภคอย่าหวั่นวิตกพร้อมแนะหากใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าว ขอให้อ่านฉลากและปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด หากใช้ต้องให้ผลิตภัณฑ์แห้งสนิท ไม่ควรใช้ขณะอยู่ใกล้ประกายไฟ                
                นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เปิด เผยว่า อย.ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีการนำเข้าผลิตภัณฑ์กันแดดยี่ห้อ ดังที่ปรากฎเป็นข่าว จำนวน 6 รายการ ซึ่งตรงกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นข่าวเพียง 1 รายการ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบไม่พบผู้บริโภคในประเทศไทยได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดัง กล่าวแต่อย่างใด แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ประสานกับบริษัท ผู้นำเข้าเรียกคืนสินค้าดังกล่าวออกจากชั้นวางจำหน่ายสินค้าเป็นที่เรียบ ร้อยแล้ว
                เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้ผู้บริโภคอย่าตื่นตระหนก เพราะ อย.จะคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคเสมอ และ ขอแนะนำว่าหากมีความประสงค์จะใช้ผลิตภัณฑ์ใน  กลุ่มรูปแบบเป็นสเปรย์ฉีดพ่นใดๆ ควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำเตือนที่แสดงบนฉลากอย่างเคร่งครัด ให้สังเกตข้างกระป๋องผลิตภัณฑ์จะแสดงรูปฉลากประกายไฟบนขวดสเปรย์ และเวลา  ทำกิจกรรมใดๆ ที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย เช่น การสูบบุหรี่ ควรหลีกเลี่ยงทันที เพราะสเปรย์ กันแดดโดยทั่วไปมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ทำให้เกิดการติดไฟได้ง่าย ทั้งนี้ หากผู้บริโภคมีอาการผิดปกติจากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพสามารถร้องเรียนได้ที่ สายด่วน อย. 1556 อีเมล์ : 1556@fda.moph.go.th หรือ สำนักสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เตือน! ดื่มน้ำร่วมแก้วเสี่ยงต่อโรคติดต่อหลายโรค

 
          นพ.ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึง การดื่มน้ำร่วมแก้วกับผู้ที่มีเชื้ออยู่ก่อนแล้ว เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อโรคติดต่อ
 
          โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน คนงานการเกษตร ที่มักจะนำน้ำดื่มใส่ภาชนะใบใหญ่ แล้วนำมาดื่มร่วมกันโดยใช้แก้วน้ำใบเดียวกัน พบว่ามีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อหลายโรค ดังนั้นประชาชนควร หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำร่วมแก้วเพื่อป้องกันกันการติดเชื้อโรคจากทางน้ำลาย
 
          จากพฤติกรรมเสี่ยงที่บ่งชี้ถึงอันตรายที่จะได้รับเชื้อโรคคอตีบ โดยเตือนกลุ่มพิเศษโดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานอันเนื่องมาจากในเดือน พฤศจิกายน จนถึงเดือนธันวาคม เกษตรกรจะเริ่มเก็บเกี่ยวข้าว และตัดอ้อยซึ่งจะมีการว่าจ้างคนงานเกษตรเป็นจำนวนมากเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งกลุ่มแรงงานเหล่านี้อาจมาจากหลากหลายพื้นที่ และแรงงานต่างด้าวในโรงงานที่หันมารับจ้างพิเศษในช่วงวันหยุดของโรงงาน จะมีการนำภาชนะบรรจุน้ำดื่มไว้บริการกันเองในกลุ่มแรงงานด้วยกัน โดยใช้แก้วน้ำเพียงใบเดียว ขันตักน้ำใบเดียว เมื่อดื่มน้ำแล้วก็ไม่มีการล้างแก้ว ล้างขันให้สะอาด จึงทำให้เสี่ยงต่อการระบาดของโรคติดต่อ ที่สำคัญคือ โรคคอตีบ โรคหวัด โรคมือ เท้า ปาก และโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำอื่นๆ ไม่เฉพาะกลุ่มแรงงานเกษตรเท่านั้น ยังมีกลุ่มนักดื่มที่นิยมดื่มเหล้าจากแก้วใบเดียวกัน จึงขอความร่วมมือให้นายจ้างที่จำเป็นต้องจ้างแรงงานเกษตรมาทำงานให้ความ สำคัญกับน้ำดื่มโดยเฉพาะ หากสามารถใช้แก้วน้ำกระดาษประเภทใช้แล้วทิ้งจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หรือจัดให้มีบริเวณสำหรับล้างแก้วน้ำหลังดื่มเสร็จทุกครั้ง และขอให้ร้านค้าที่มีบริการน้ำดื่มฟรีดูแลให้มีหลอดดูดที่สามารถใช้แล้วทิ้ง ได้เลยนอกจากจะประหยัดได้แล้วยังปลอดภัยอีกด้วย ในส่วนของกรรมกรผู้ใช้แรงงานให้จัดหาภาชนะแก้วน้ำสะอาด หลอดดูด หรือการนำกระติกน้ำดื่มส่วนตัวแทนการดื่มน้ำร่วมกับผู้อื่น เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อที่อาจจะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน
 
          ในช่วงต้นฤดูหนาวนี้ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ ไข้ เจ็บคอ กลืนลำบาก และหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง จะต้องระวังการดื่มน้ำในที่สาธารณะจากแก้วน้ำที่ใช้ร่วมกัน ผู้ป่วยและผู้มีอาการไข้ เจ็บคอต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

8 ข้อหลักง่ายๆ กินเจให้ถูกวิธี

เน้นความสะอาด

        สัญลักษณ์ธงเหลืองปลิวไสวอยู่ตามแผงร้านอาหาร เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเทศกาลสำคัญกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อย่าง เทศกาลกินเจ ที่หลายคนเลือกจะงดบริโภคอาหารสัตว์ แล้วหันมาทานผัก โปรตีนที่ได้จากถั่ว เต้าหู้แทน พร้อมๆ ไปกับการรักษาศีล ทำความดี โดยปีนี้กำหนดจัดเทศกาลกินเจระหว่างวันที่ 7-16 ตุลาคม 2553


        แล้วกินเจอย่างไรให้ถูกวิธี ไม่ให้อ้วน ไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหาร วันนี้ นายสง่า ดามาพงษ์
  
ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มี คำแนะนำดีๆ มาบอกให้ฟังว่า การกินเจถือเป็นเรื่องดี ที่คนหันมากินผักมากกว่า แต่การกินเจใช่เพียงจะมองแต่จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่ควรมองเรื่องของการถือศีลควบคู่เป็นสำคัญ ส่วนวิธีการกินเจให้ถูกวิธี มีหลักง่ายๆ 8 ข้อ คือ 

        1.ต้อง มั่นใจว่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะหมู่โปรตีน ซึ่งโปรตีนที่จะมาทดแทนเนื้อสัตว์คือ โปรตีนที่ได้จากถั่วเมล็ดแห้ง ซึ่งปัจจุบันนี้มีการผลิตออกมาในรูปแบบของเต้าหู้แผ่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ทอด ขณะที่วิทยาศาสตร์ด้านอาหารก้าวไกลไปมาก จึงทำให้เกิดโปรตีนเกษตรที่ปัจจุบันนี้ก็มีผู้นิยมบริโภคจำนวนมากเช่นกัน แต่จากที่ตนได้ลงสำรวจในตลาดพบว่า ปัจจุบันนี้มีการทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ แต่ไม่ได้ทำมาจากโปรตีนเกษตร โดยทำมาจากแป้ง ซึ่งก็อาจส่งผลให้ผู้บริโภคที่ไม่รู้ทานมากไปอาจอ้วนได้

        2.ความ สะอาด ส่วนมากผู้ทานเจในปัจจุบันจะมักนิยมไปซื้ออาหารเจตามร้านค้า ไม่ค่อยปรุงอาหารเอง ซึ่งก็เสี่ยงต่อเรื่องของความสะอาด ดังนั้นผู้ปรุงอาหารเจขายควรคำนึงเรื่องของความสะอาดให้มาก โดยเฉพาะการทำความสะอาดผักที่นำมาประกอบอาหาร การเลือกดูเครื่องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็นซอส ซีอิ๊ว ต้องดูวันหมดอายุ และผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นต้น

        แนะ วิธีล้างผักง่ายๆ นำผักสดที่ซื้อมาใส่ภาชนะ เติมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 2-5 นาที แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าอีก 1 รอบ ก็จะช่วยล้างสารพิษออกจากผักได้ในระดับหนึ่ง ประมาณ 30-70%

        3.หลีก เลี่ยงอาหารรสจัด ในที่นี้หมายถึงรสมันจัดกับเค็มจัด เพราะอาหารเจมักจะปรุงด้วยวิธีการผัด-ทอดในน้ำมัน หากเป็นไปได้ควรหันมาบริโภคอาหารประเภทต้ม ย่าง อบ ยำ เช่น ยำมะเขือยาว แกงจืดเต้าหู้ ฯลฯ แทน

        ส่วน รสเค็มจัดนั้น ต้องอย่าลืมว่าการปรุงอาหารก็จะใช้ซอส ซีอิ๊ว เกลือแทนน้ำปลา ซึ่งเครื่องปรุงเหล่านี้มีปริมาณของโซเดียมสูง ซึ่งจะส่งผลให้ไตทำงานหนัก

        ปกติคนเราจะบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 mg./วัน

        4.ควรเลือกทานผัก-ผลไม้สด มากกว่าผักดอง เพราะผักสดมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าผักดอง

        5.อาหาร เจประเภทที่ปรุงด้วยวิธีการเคี่ยวนานๆ อาจทำให้คุณค่าของสารอาหารสูญเสียไป เช่น ต้มจับฉ่าย ที่ต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน ในส่วนนี้ต้องระวังเรื่องของคุณค่าอาหารจะหายไป รวมถึงความสะอาดของผัก เพราะหากไม่ล้างให้สะอาดแล้วนำมาปรุง ก็เท่ากับสารพิษก็จะตกค้างอยู่ในหม้อ

        6.ทาน เจให้ได้ไอโอดีนอย่างเพียงพอ เพราะการทานเจไม่ได้รับประทานอาหารทะเล ดังนั้นการรับประทานอาหารเจก็ควรเติมเกลือไอโอดีนใส่ในการปรุงรสด้วยก็จะ ช่วยทดแทนได้

        7.ควรบริโภคข้าวกล้องมากกว่าข้าวขาว เพราะมีวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีนมากกว่าข้าวขาว

        8.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลม แล้วหันมาดื่มน้ำเปล่าบริสุทธิ์แทน

        8 ข้อหลักนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผู้บริโภคจะเลือกไปปฏิบัติ แล้วรู้หรือไม่ว่าการกินเจจะมีประโยชน์กับระบบของร่างกายอย่างไร? ศูนย์สารนิเทศทางอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุประโยชน์ของการกินเจไว้ว่า

        - ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกให้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักสดผลไม้ช่วยให้การขับถ่าย และการย่อยเป็นปกติ
     
        - เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาว ผิวพรรณสดชื่น ผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใส ไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด มีสุขภาพอนามัยดี
     
        - อวัยวะหลักสำคัญภายในและอวัยวะประกอบทั้ง 5 แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง  (อวัยวะหลักภายในทั้ง 5 ได้แก่ หัวใจ, ไต, ม้าม, ตับ, ปอด)  (อวัยวะประกอบทั้ง 5 ได้แก่ ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี)

        - ร่างกายต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดา อาทิ  สารเคมี, ยากำจัดศัตรูพืช, ยาฆ่าแมลง, ก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล  และ สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ของร่างกายทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ เช่น กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ และในสงคราม
       
        ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักเป็นประจำ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฎ
โดยเฉพาะโรคที่รุนแรงและเรื้อรัง เช่น  โรคมะเร็ง,โรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, เส้นเลือดตีบ, ไขมันอุดตันในเส้นโลหิต,  โรคไต, ไขข้ออักเสบ, โรคเกาต์, โรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร, มะเร็งในกระเพาะ และลำไส้, โรคกระเพาะ, อาหารไม่ย่อย  โรคเหล่านี้จะไม่พบในผู้ที่รับประทานอาหารเจอาหารพืชผัก และผลไม้เป็นประจำ

        เห็น คุณประโยชน์นานัปการแบบนี้แล้ว กินเจปีนี้ ใครที่ยังไม่เคยทานเจ ลองหันมาทานเจดูบ้าง อย่างน้อยก็เหมือนเป็นการล้างพิษในร่างกายแถมยังอิ่มบุญอีกด้วย

 ที่มา : สุนันทา สุขสุมิตร Team Content www.thaihealth.or.th

ผักผลไม้รวมทั้งกล้วยไข่คุณค่าเพียบ ป้องกันมะเร็ง กินต่อเนื่องเป็นผลดี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนใช้เทศกาลกินเจ ปลูกฝังการกินผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ หรือวันละประมาณครึ่งกิโลกรัม ชี้มีผลดีหากกินต่อเนื่องเป็นประจำ จะลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างน้อยร้อยละ 20 ระบุผลวิจัยในกล้วยไข่ 1 ผล พบมีสารสำคัญต้านโรคมะเร็งถึง 3 ชนิด
วันนี้ (15 ตุลาคม 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงาน สารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพง ประจำปี 2555” ที่บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมือง จ.กำแพงเพชร และให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเทศกาลกินเจนี้ ประชาชนจะหันมากินผักผลไม้อย่างเดียว ซึ่งหากมีการกินอย่างต่อเนื่องหรือกินเป็นเมนูในอาหารทุกมื้อจะเป็นผลดี 
มีผลวิจัยทั่วโลกยืนยันว่าการกินผักผลไม้จะช่วยป้องกันโรคได้หลายอย่าง ที่สำคัญและกำลังเป็นปัญหาของคนทั่วโลก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอันดับหนึ่งติดต่อกันมากกว่า 10 ปี คือโรคมะเร็ง ล่าสุดรายงานในปี 2553 มีจำนวน 58,076 ราย 
รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข  มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้คนไทยเพิ่มการกินผัก ผลไม้ ให้ได้ครึ่งหนึ่งของปริมาณอาหารแต่ละมื้อ หรือประมาณวันละครึ่งกิโลกรัม ตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ 20 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่า โดยมีผลการศึกษาทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า 1 ใน 3 ของคนที่เป็นโรคมะเร็งมีสาเหตุมาจากอาหาร
ทั้งนี้ในผักผลไม้ จะมีน้ำเป็นส่วนประกอบร้อยละ 70-80 เป็นน้ำที่ไม่มีสารพิษ เป็นประโยชน์กับร่างกายมากจะมีวิตามินต่างๆ เกลือแร่ มีกากใยมาก หน้าที่ของวิตามินและเกลือแร่ จะทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายเกิดความสมดุล ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยวิตามินบี จะช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้ความจำดีขึ้น วิตามินซีและวิตามินอี จะสร้างความสมดุลระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย ส่วนกากใยในผักผลไม้ จะทำหน้าที่ดูดซับสารพิษหรือสารอาหารที่เป็นส่วนเกิน ได้แก่ ไขมัน น้ำตาล แล้วขับถ่ายออกไป ทำให้ลำไส้ไม่มีสิ่งหมักหมม จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวานได้  ดังนั้นจึงอยากจะขอเชิญชวนให้คนไทยทุกคน และชาวไทยที่มีเชื้อสายจีนใช้เทศกาลเจ เป็นจุดเริ่มต้นของการกินผักผลไม้ อย่างต่อเนื่องให้เป็นวิถีชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันการเกิดโรค   
สำหรับกล้วยไข่ ซึ่งจังหวัดกำแพงเพชรเป็นแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงของประเทศ และเป็นผลไม้คู่กับเทศกาลสารทไทยด้วย จากงานวิจัยของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่ามีประโยชน์สูง โดยมีวิตามินอี เบต้าแคโรทีน และวิตามีนซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง หรือทำให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ รวมทั้งโรคตาต้อกระจกได้ ผลการวิจัยพบว่าในกล้วยไข่ 1 ผล ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 40 กรัม มีเบต้าแคโรทีน 108 ไมโครกรัม มีวิตามินอี 0.19 มิลลิกรัม วิตามินซี 4 มิลลิกรัม และให้พลังงาน 44 กิโลแคลอรี่ ในการกินนั้น แนะนำให้กินกล้วยไข่แทนข้าวได้ 2 ผล เด็กกินได้ 1-2 ผล จะต้องลดปริมาณข้าวลง เพราะกล้วยไข่ 2 ผลเท่ากับข้าว 1 ทัพพี หากแปรรูปทำเป็นกล้วยไข่อบแห้ง จะต้องไม่ใส่น้ำตาล หากนำไปทอดให้ระวังเรื่องน้ำมัน ส่วนการเชื่อมต้องระวังเรื่องความหวาน โดยเด็กสามารถกินกล้วยฉาบแทนขนมกรุบกรอบได้ เพราะมีประโยชน์มากกว่า

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

ดื่มน้ำหวานมาก คลอดก่อนกำหนด

คุณแม่หลายท่านคงทราบแล้วว่า การคลอดก่อนกำหนดหมายถึงการเจ็บครรภ์ และคลอดตั้งแต่สัปดาห์ที่ 28 ถ้าประเทศที่พัฒนาแล้ว นับเริ่ม ที่ 20 จากประจำเดือนวันแรกของครั้งสุดท้าย จนถึงก่อนครบสัปดาห์ที่ 37 ซึ่งเป็นปัญหา และภาวะแทรกซ้อนที่เป็นสาเหตุการตายปริกำเนิด และทุพพลภาพของทารกพบได้ไม่ต่ำกว่า 2/3 ในประเทศเรา ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับประเทศ
สำหรับสาเหตุของปัญหามีหลายอย่าง แต่ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หรือหลีกเลี่ยงลำบาก เช่น ครรภ์เป็นพิษ ครรภ์แฝด รกลอกตัวก่อนกำหนด IUGR (ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์) การติดเชื้อที่ปากมดลูก เช่น เชื้อพยาธิ Trichomonas หรือ Chlamydia (หนองในเทียม) ก็ให้คุณหมอดูแลไป
ส่วนปัจจัยหรือสาเหตุที่ตัวเราเองควบคุมได้ เรามาช่วยกันดูแลเพื่อลดปัญหาตั้งแต่ระดับลูกเราจนถึงระดับชาติเลย โดยเฉพาะเรื่องไลฟ์สไตล์ของคุณแม่ เราพบว่าการคลอดก่อนกำหนดพบมากในคุณแม่ที่ไม่ค่อยดูแลตัวเอง อายุน้อย ไม่อยากมีบุตร เครียด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการฝากครรภ์ ฯลฯ นั่นก็สมเหตุสมผล
แต่ท่านทราบไหมว่า การดื่มเครื่องดื่มหวานบ่อยๆ นี่ก็เป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนดได้ โดยเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผลวิจัยในคุณแม่ตั้งครรภ์ชาวนอร์เวย์ 60,761 คน รวบรวมผลตั้งแต่ปี 1999-2008 พบว่า 3,281 คน (5.4%) ที่คลอดก่อนกำหนด มีอยู่ 25% ดื่มเครื่องดื่มหวานทุกวัน และยิ่งถ้าเป็นคนอ้วนอยู่แล้วพบว่าคลอดก่อนกำหนดเพิ่มเป็น 30% เมื่อเทียบกับคุณแม่ที่ไม่ดื่มน้ำหวานเลย

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

ค้นพบโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์

รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการถ่าย ทอดเทคโนโลยี ม.ขอนแก่น และทีมคณะแพทย์ ม.ขอนแก่น เผย "โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์" โรคใหม่ที่คนเอเชียเป็นกันมาก ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในโลกโดยทีมแพทย์ ม.ขอนแก่น
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ม.ขอนแก่น กล่าว ว่า คนทั่วไปมักเข้าใจว่าโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจะต้องเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์เท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ อย่างโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ ถือเป็นโรคใหม่ที่วงการแพทย์เพิ่งค้นพบ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ได้วิจัยร่วมกันระหว่างแพทย์จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ คือ ประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน ที่ร่วมมือกันศึกษาวิจัยในเรื่องโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่โรคเอดส์ ผลการศึกษาในครั้งนี้เปรียบเหมือนกุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้การรักษาของหมอเป็นไปอย่างถูกทิศทาง แม่นยำ ช่วยชีวิตผู้ป่วยให้รอดพ้นจากโรคร้ายได้ นอกจากนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ยังได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์หลาย ฉบับที่ได้รับการอ้างอิงเป็นที่ ยอมรับสูง
ด้านศาสตราจารย์แพทย์หญิง เพลินจันทร์ เชษฐ์โชติศักดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ใน ฐานะหัวหน้าทีมวิจัย "โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์" กล่าวว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ ถือเป็นโรคค้นพบใหม่ อาการทางคลินิกต่างจากโรคเอดส์รวมถึงมีความคล้ายคลึงกับโรคพุ่มพวง หรือโรคเอสแอลอี โดยโรคเอดส์เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเอชไอวี ซึ่งเอชไอวี จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง แต่ว่าในผู้ป่วยเอชไอวีภูมิคุ้มกันจะสูญเสียไปมาก
ดังนั้นการติดเชื้อฉวยโอกาสจะมีโอกาสได้หลายอย่างมากกว่า และภูมิคุ้มกันบกพร่องมากกว่าเชื้อฉวยโอกาสที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือเชื้อ วัณโรค รองลงมาก็จะเป็นพวกเชื้อราต่าง ๆ ในผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์นี้ ไม่ได้ติดเชื้อวัณโรค เป็นอันดับหนึ่งที่ส่วนใหญ่จะเจอได้น้อย
ส่วนโรคพุ่มพวงมีความเหมือนกับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ คือร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้งเซลล์ของตัวเองเหมือนกัน แต่ว่าโรคพุ่มพวงนั้น ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้มายับยั้งเซลล์พวกไต ทำให้ไตผิดปกติไม่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ แต่โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ใช่เอดส์ร่างกายสร้างสารขึ้นมายับยั้ง อินเตอร์เฟรอนแกรมมาของตัวเอง สร้างขึ้นมาทำลายเซลล์ของตัวเองเช่นกัน ทั้งนี้พบว่าโรคนี้ส่วนใหญ่จะพบมากในชาวเอเชีย ประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับวิธีออกกำลังกายอย่างไร..ให้อายุยืน

ใช่ว่าเดินวิ่งไปวันๆ แล้วจะมีสุขภาพดีอายุยืน เรามีเคล็ดลับมาบอกให้วันคืนของคุณยาวไปอีกนาน
ขึ้นบันได
ในปี 2008 การศึกษาจากสวิสเซอร์แลนด์เปิดเผยว่าคนที่มีชีวิตเฉื่อยชาแต่เปลี่ยนจากการ ขึ้นลิฟต์เป็นการขึ้นบันไดนั้น จะลดโอกาสเสียชีวิตก่อยวัยอันควรได้ถึงร้อยละ 15  นอกจากนี้ ยังเคยมีข้อมูลจาก Harvard Alumni Health Study บ่งบอกว่า การขึ้นบันไดมากกว่าเดิม 35 ชั้นต่อสัปดาห์ จะช่วยเพิ่มอายุขัยได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับคนที่ขึ้นพียง 10 ชั้น (เมื่อแบ่งก็จะเป็นวันละ5ชั้น/สัปดาห์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขึ้นติดๆ กันก็ได้)
ปั่น…ให้เร็วขึ้น
การปั่นจักรยานไปจ่ายตลาดเป็นอีกวิธีที่หากคุณอยากออกกำลังกายกลางแจ้ง แถมยังประหยัดเงินค่ารถ แต่การปั่นจักรยานตามสบาย แม้คุณจะเหงื่ออก แต่ก็ไม่ช่วยเรื่องอายุขัย เท่ากับการที่คุณตั้งหน้าตั้งตาปั่นเร็ว เคยมีการศึกษาจากโคเปนเฮเกนพบว่า กลุ่มชายที่ปั่นจักรยานเร็วที่สุดนั้นจะมีอายุขัยยืนยาวกว่าชายที่ปั่น จักรยานช้าถึง 5 ปี ส่วนในกลุ่มผู้หญิงนั้นความแตกต่างมีถึง 4 ปี
ไปว่ายน้ำกันเถอะ
ในปี 2009 จากการศึกษาจาก Aerobis Center Longitudinal Study พบว่าคนที่ว่ายน้ำเป็นประจำจะมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าชายอายุเท่ากันที่ไม่ ออกกำลังกายถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ นักว่ายน้ำยังมีอายุขัยสูงกว่าชายที่เดินหรือวิ่งเป็นการออกกำลังกายด้วย
เดิน ฉับ ฉับ ฉับ!
จังหวะเดินเร็ว ไม่ใช่ตัวชี้ว่าคุณจะมีอายุยืนยาวรึเปล่า  จังหวะการเดินของคุณนั้นถูกเลือกโดยร่างกายของเรามาแล้วว่าเดินอย่างนี้แหละ เหมาะกับคุณแล้ว เพียงแต่คุณอาจจะอยากเดินเร็วขึ้นอีกสักนิด เพราะเคยมีการศึกษาชี้ว่าคนเดินเร็วนั้นมีชีวิตยืนยาวกว่าคนเดินช้า
ออกกำลังกาย 15 นาที
บางคนเชื่อว่าการออกกำลังกายนั้นต้องใช้เวลาถึง 30 นาที จึงจะได้ประโยชน์ แต่หลายคนประสบปัญหาว่าไม่มี 30 นาทีนั้น ความจริงคือการออกกำลังเพียง 15 นาทีต่อวัน ก็จะช่วยยืดอายุขัยได้มากถึง 3 ปีแล้ว
เพิ่มความแรง
เดินให้เร็วขึ้นหรือปั่นจักรยานให้ไวขึ้นก็ล้วนแต่มีธีมหลักคือความเข้ม ข้นของการออกกำลังกาย โดยรวมแล้วการออกกำลังกายอย่างหนัก (Vigorous Activities) จะช่วยให้อายุขัยของคุณยืนยาวได้มากกว่าการออกกำลังกายแบบเบาๆ ยกตัวอย่างเช่น การเดินเพียง 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์ จะช่วยให้อายุขัยยืนขึ้นตั้งแต่ 1.3-1.5 ปี แต่การวิ่งประมาณ 30 นาที ในความถี่เดียวกันจะช่วยเพิ่มอายุขัยถึง 3 ปี

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามดาร

6 วิธีผ่อนคลายแบบง่ายๆ

เพื่อให้คุณ สดชื่น สดใสได้ทุกวัน

 เพราะ ความเครียดเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา การหาวิธีผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด จึงมีความจำเป็น วันนี้จึงมีวิธีผ่อนคลายง่ายๆมากฝากกัน

การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า จะทำให้ผิวหน้าดูสดใส : ให้เอาปลายนิ้วมือแตะที่ปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆ ค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้น จะส่งผลทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะและใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นด้วย

ฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าไม่ให้แก่ก่อนวัย : หายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวไม่ไห้แก่ก่อนวัยและลดรอยหมองคล้ำ

กินส้มช่วยแก้อาการเซ็ง : สาเหตุก็เพราะ การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายเครียดลงได้ดีออกมาด้วย

กินช็อกโกแลต ช่วยลดอาการแก้ไอ : สาเหตุก็เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อกโกแลตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะออกฤทธิ์ที่เส้นประสาท ชื่อเวกัสเนอร์ที่ทำหน้าที่ที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล

กินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลัง : สาเหตุก็เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียก็เพราะ กรดในเลือดสูงร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดของคนเรา การกินบ๊วยจึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้

กินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น : สาเหตุก็เพราะ ในเนยมีกรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตพันซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น



ที่มา : โซดาดอทคอม

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เด็กกินฟาสต์ฟู้ดมีเชาวน์ปัญญาต่ำ สู้เพื่อนกินอาหารที่ปรุงขึ้นใหม่ไม่ได้

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่ง ลอนดอน ศึกษาพบว่าเด็กที่โตขึ้นมาด้วยอาหารฟาสต์ฟู้ด จะมีระดับเชาวน์ปัญญาต่ำกว่าเพื่อนที่กินอาหารที่ปรุงขึ้นใหม่ไม่ได้
พวกเขาได้พบว่าโภชนาการในวัยเด็กจะมีผลต่อระดับสติปัญญาเด็กอยู่อย่างยืนนาน
นักวิจัยจะได้ศึกษาจากเด็กสกอต วัยระหว่าง 3-5 ขวบ จำนวน 4,000 คน เพื่อจะดูว่าอาหารหลักที่เด็กกินในแต่ละวันอย่างไหน ที่มีผลต่อสติปัญญาและความเติบโตของเด็ก
หัวหน้านักวิจัยกล่าวว่า “โดยสามัญสำนึก เรารู้ว่าแบบของอาหารที่กิน จะต้องมีผลกับการพัฒนาสมอง การวิจัยครั้งนี้จะหาหลักฐาน เพื่อเอามาสนับสนุนการรณรงค์ เพื่อจะให้เด็กลดการบริโภคฟาสต์ฟู้ดให้น้อยลง” และเสริมว่า การศึกษาที่แล้วมา แสดงว่าอาหารที่ปรุงใหม่และมีคุณภาพ สำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่ทำให้แค่อิ่มได้แค่นั้น โดยเฉพาะในช่วงที่เด็กยังอ่อนและพัฒนาอยู่

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เตือนภัยเงียบ “โรคซึมเศร้า” ทุกวัยมีสิทธิ์ป่วย

 
               สธ. เผยโรคซึมเศร้า ภัยเงียบคุกคามสุขภาพ คาดจะกลายเป็นปัญหาอันดับ 1 ของโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า เตือนมีสิทธิ์ป่วยทุกวัย ระบุคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปป่วยแล้วกว่า 1.5 ล้านคน  แต่เข้าถึงการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 4 เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ คาดแนวโน้มมีเพิ่มจาก 5 กลุ่มเสี่ยง  ชี้โรคนี้เสี่ยงฆ่าตัวตายจบชีวิตสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไป 20 เท่าตัว พร้อมแนะให้ประชาชนออกกำลังกาย  ป้องกันได้     
 
              เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ จังหวัดนครราชสีมา นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์คำรณ ไชยศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบบริการดูแลปัญหาสุขภาพจิตประชาชนของโรงพยาบาล ปักธงชัย อ.ปักธงชัย และได้เยี่ยมชมการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคทางกายและทางจิตด้วยดนตรีบำบัด ของโรงพยาบาลครบุรี อ.ครบุรี เพื่อใช้รักษาการเจ็บป่วยทางกายและโรคทางจิต เช่นโรคซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ ทำให้การไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวิตกกังวล สร้างสมาธิ ร่วมกับการรักษาด้วยยา ส่งผลให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น  
 
               นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า  วันที่ 10 ตุลาคม ทุกปี  องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day) ในปีนี้เน้นเรื่อง"ภาวะซึมเศร้า: วิกฤตโลก" (Depression: A Global Crisis)  เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกเร่งรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นภัยเงียบของสุขภาพ เป็นได้ทุกวัย หากไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลกระทบรุนแรง ทำงานหรือเรียนหนังสือไม่ได้ กลายเป็นภาระการดูแลรักษาอันดับ 1 ของทั่วโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า หรือในพ.ศ.2573 ล่าสุดนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากกว่า 350 ล้านคน ผู้หญิงป่วยมากกว่าผู้ชาย ในจำนวนนี้เข้าถึงบริการรักษาเพียง 1 ใน 10  ส่วนในไทย จากข้อมูลของศูนย์โรคซึมเศร้าไทย กรมสุขภาพจิต รายงานว่าขณะนี้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 2 ของประชากรทั้งหมด สังคมไทยยังให้ความสำคัญโรคนี้น้อย ส่วนใหญ่เข้าใจว่าผู้ป่วยโรคนี้เป็นคนบ้า และจากข้อมูลการให้บริการของสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 100 คนเข้าถึงบริการได้รับการวินิจฉัยและรักษา 28 คนเท่านั้น   
 
              นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า จากการศึกษาพบว่า โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุถึงร้อยละ 70 ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และต้องทรมานในภาวะไร้สมรรถภาพมากเป็นอันดับ 3 ในหญิงไทย รองจากโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรงจะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าคนทั่ว ไปถึง 20 เท่า   
 
              "ในการป้องกันแก้ไขและลดความสูญเสียจากโรคซึมเศร้า ในปี 2556 นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นนโยบายบริการเชิงรุก 3 มาตรการหลักได้แก่  1.ให้กรมสุขภาพจิตเร่งรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค ซึมเศร้า ว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่บ้าและรักษาหาย  2.ขยายบริการการรักษาโรคนี้ลงในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง ซึ่งโรคนี้รักษาได้ง่ายๆด้วยยาเพียงเม็ดเดียว กินวันละครั้ง ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และต้องกินยาติดต่อกันนาน 6 เดือน จะสามารถป้องกันการกลับซ้ำได้ดีมาก และ3.กระตุ้นให้ประชาชนออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงและมีเหงื่อ เช่นวิ่ง ปั่นจักรยานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากจะทำให้สมองหลั่งสารต้านเศร้า ซึ่งมีชื่อว่าเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ทำให้มีความสุข รู้สึกสบาย คลายความเครียดกังวลได้ดี" นายแพทย์สุรวิทย์กล่าว                                                                                        
 
               ด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้กรมสุขภาพจิต ได้จัดระบบเฝ้าระวังโรคซึมเศร้าระดับจังหวัด โดยอบรมแพทย์ พยาบาลวิชาชีพกว่า 5,000 คน และอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เร่งค้นหาผู้ที่มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าใน 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1.ผู้ป่วยโรคทางกายเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง ไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง 2.ผู้สูงอายุ 3.หญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด 4.ผู้ติดสุราและสารเสพติด 5.ผู้สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมากหรือสูญเสียคนรัก ทั้งในภาวะปกติทั่วไปและประสบอุบัติภัยต่างๆเช่นน้ำท่วม เป็นต้น โดยการคัดกรองหาผู้ที่มีความเศร้าในชุมชนต่างๆ และโรงพยาบาลทุกแห่ง เพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องโดยการรักษาด้วยยาหรือจิต บำบัด ตั้งเป้าจะเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ที่มีปัญหาให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70  ซึ่งจะช่วยให้สามารถป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายได้ด้วย
 
               นายแพทย์วชิระกล่าวต่อว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบมากที่สุด เป็นโรคของสมอง เกิดจากความบกพร่องของสารสื่อประสาท ส่งผลให้มีภาวะผิดปกติทั้งร่างกายและจิตใจ  อาการที่เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้า ได้แก่ มีอารมณ์เศร้า ท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวังอย่างรุนแรง อาการเกิดตลอดวัน ทำอะไรก็ไม่เพลิดเพลิน ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการเบื่อหน่าย หมดความสนใจในงาน การเรียนหรือกิจกรรมที่ทำอย่างมาก หากพบผู้ใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ต้องพาไปพบจิตแพทย์  
 
               ทั้งนี้ การป้องกันการเกิดโรคทางจิต หากประชาชนที่มีปัญหาเครียด  ไม่สบายใจ  นอนไม่หลับ ไม่ควรเก็บปัญหาไว้คนเดียว  ควรระบายปัญหาออก เช่น ปรึกษาผู้ที่ไว้วางใจที่สุดเพื่อหาทางออก ช่วยกันดูแลสมาชิกในครอบครัวสอบถามทุกข์สุข ทำกิจกรรม เช่น ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที จะสามารถคลี่คลายปัญหาสุขภาพจิตได้ดีมาก โดยร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ทำให้นอนหลับสนิททุกวัน และที่สำคัญไม่ควรใช้สารเสพติดหรือดื่มสุราดับทุกข์  เนื่องจากจะทำให้เกิดการเสพติด  นอกจากนี้สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 และ 1667 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

‘นมแม่’ ดีที่สุด ภูมิคุ้มกันที่ลูกควรได้รับ

สังคมไทยและสังคมโลก ในทุกวันนี้ หากใครก็ตามอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข หรือเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเข้ามาหาตนเอง สิ่งแรก และสิ่งเดียว ที่ ทุกคนจะต้องคำนึงถึงคือ “ภูมิคุ้มกัน”
เพราะในสังคมของมนุษย์ทุกหนทุกแห่งจะเต็มไปด้วยภัยอันตราย ทั้งที่มองเห็น และมองไม่เห็น ดังนั้น คนทุกคนจึงต้อง “มีภูมิคุ้มกัน” เอาไว้ป้องกันตัวเอง และในกระบวน ภูมิคุ้มกัน (มนุษย์) ที่ดีที่สุด และหาได้ง่ายที่สุด ตั้งแต่แรกเกิด คือ “นมแม่”
“นมแม่” นับเป็นสิ่งสำคัญที่ลูกๆ ควรได้รับตั้งแต่แรกเกิด เพราะมีการวิจัยว่าคุณค่าสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำนมแม่นั้นมีมากกว่า 200 ชนิด ที่เป็นภูมิคุ้มกันชั้นยอดต่อการช่วยปกป้องลูกจากการเจ็บป่วย...แต่ปัจจุบัน นี้ยังมีคุณแม่มือใหม่ที่มีความเชื่อว่านมผงสามารถทดแทนนมแม่ได้ไม่แพ้กัน
มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดกิจกรรม “สัปดาห์นมแม่โลก 2555 ช่วยเด็กไทยให้ได้กินนมแม่” เพื่อรณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวตลอด 6 เดือนแรก
พญ.ศิริพร กัญชณะ ประธานมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย กล่าว ว่า “นมแม่มีความสำคัญต่อลูกตั้งแต่แรกเกิดมาก เพราะมีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ส่วนนมผงมีการเติมสารอาหารลงไปเพียง 6 ชนิดเท่านั้น ดังนั้นนมแม่จึงมีสารอาหารมากกว่านมผงหลายเท่า และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มให้กับลูกได้ เช่น สารไลไซซายม์ สาร secretarylgaสาร prebiotic(oligosaccharide) สาร glycan เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้ร่างกายของแม่สามารถผลิตใหม่ได้ทุกวัน ดังนั้น ควรให้ลูกได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวครบ 6 เดือน เพื่อให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ เช่น ท้องเสีย ปอดบวม โรคลำไส้อักเสบ ภูมิแพ้ ภาวะอ้วน และการเสียชีวิตในที่สุด”
ล่าสุด ครม.ได้เห็นชอบมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับ ทารกและเด็กเล็ก ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอมาให้พิจารณา
ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวณิช ผู้ช่วยอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงว่า บริษัทนมผงได้ทำการตลาด เช่น การโฆษณาที่ทำให้แม่เข้าใจผิดว่า “นมผงมีคุณค่าทดแทนนมแม่ได้” หรือ “การแจกผลิตภัณฑ์นมผง” ให้แก่แม่หลังคลอดในโรงพยาบาล สถานบริการของรัฐ ทั้งๆ ที่บริษัทรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิด และอีกอย่างคือ แม่ไม่ได้รับคำแนะนำและช่วยเหลือวิธีให้นมแม่และคุณประโยชน์ของนมแม่ที่ลูก ควรได้รับอย่างถูกต้องตั้งแต่ตั้งครรภ์จนกระทั่งหลังคลอด ทำให้แม่ส่วนใหญ่หันมาให้ลูกกินนมผงแทน ส่งผลให้ลูกไม่ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าตั้งแต่เริ่มต้น จึงอยากให้ตระหนักว่า “นมผงนั้นไม่ใช่สินค้าอันตราย แต่นมแม่มีคุณค่ามากกว่านมผง”
ด้านคุณแม่มือใหม่ ปอ-ปุณยวีร์ สุขกุลวรเศรษฐ์ พิธีกรชื่อดัง และผู้จัดรายการ 30 ยังแจ๋ว ทางโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่ง ถือเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ทำงานนอกบ้านเป็นประจำ แต่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองได้ตั้งแต่แรกเกิด เปิดเผยให้ทราบว่า “ปอเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองตั้งแต่ลูกเกิดเลยจนถึงตอนนี้ลูกอายุ 1 ขวบ 3 เดือนก็ยังให้กินนมตัวเองอยู่ ลูกมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจารย์ที่สอนพัฒนาการสมองลูก จากศูนย์พัฒนาศักยภาพสมองเด็ก 6 เดือน ถึง6 ขวบ หรือเบบี้ส์ จีเนียส (Baby genie) ที่ได้ส่งลูกไปเรียน อาจารย์เล่าให้ฟังว่าลูกมีความจำที่ดีมาก ไม่ว่าสอนอะไรเขาจำได้เร็ว เพราะการให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดนี่เอง และที่สำคัญไปกว่านั้นลูกยังมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายเหมือนเด็กคนอื่นๆ ด้วย”
คุณแม่ปอ ยังบอกด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอีกว่า ตอนที่ยังไม่คลอดลูก มีความกลัวมากว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองไม่ได้ เพราะกลัวไม่มีน้ำนมเพียงพอจนถึง 6 เดือน จึงได้ขอคำแนะนำจาก คุณ เอ้-อังสณา วงศ์ศิริ พยาบาลวิชาชีพชำนาญเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ และเฟซบุ๊ค ชุมชนนมแม่ออนไลน์ เนื่องจากตอนนั้นไม่รู้ว่าจะขอคำปรึกษาใคร เลยไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนตแล้วพบกับเฟซบุ๊คของคุณเอ้ จึงเข้าไปขอคำปรึกษา
 “คุณเอ้ได้ให้คำแนะนำที่ดีในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างการปั๊มนมให้ลูก ปั๊มนมได้น้อยมากนมออกมาทีละนิด ละน้อย พี่เอ้ก็มาสอนเทคนิคว่าจะทำอย่างไรให้ได้เยอะ คือต้องเริ่มต้นปั๊มนมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยปั๊มให้ได้วันละ 8-10 ครั้ง ยิ่งปั๊มได้บ่อยแค่ไหน ก็จะยิ่งทำให้เต้านมผลิตน้ำนมได้มากขึ้น ในที่สุด ตอนนี้สามารถปั๊มนมให้ลูกในจำนวนที่ต้องการได้ ถ้ามีคนอื่นมาถามเกี่ยวกับการเลือกนมให้ลูกก็จะบอกไปเลยว่าให้ลูกกินนมแม่ดี ที่สุด ถ้าคุณอยากให้ลูกได้รับสิ่งดีๆ ที่เปรียบเหมือนการมอบมรดกให้ลูก คือ การที่ลูกมีสุขภาพแข็งแรง ภูมิต้านทานที่ดี และพัฒนาการที่สมวัย ก็ควรให้ลูกกินนมแม่” แม่ปอ กล่าวอย่างมีความสุข
ได้ยินได้ฟัง และได้พบเห็นมาอย่างนี้ เชื่อว่า คุณแม่ (มือใหม่) อีกหลายๆ คน คงจะหยุดคิดได้สักนิดว่า หากรักลูกอยากหา “ภูมิคุ้มกันให้กับลูกไปจนตลอดชีวิต อย่าลืมที่จะนึกถึง “นมแม่” เพื่อลูกจะได้รับสิ่งดีๆ ทั้งความฉลาด พัฒนาการที่สมวัย สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ซึ่งทุกอย่างต้องเริ่มจากสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนคือ นมแม่

ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

5 วิธีสร้างนิสัยรักการอ่านในเด็ก

5 วิธีสร้างนิสัยรักการอ่านในเด็ก

1. สร้างบรรยากาศให้อยากอ่านหนังสือ
บรรยากาศที่เงียบสงบ  ร่มรื่น  เย็นสบาย  ไม่ร้อน อากาศถ่ายเทได้ดี จะช่วยสร้างบรรยากาศให้อยากอ่านหนังสือ และเป็นการเรียกสมาธิจากการอ่านได้อย่างดี
2. อ่านหนังสือให้เด็กฟัง
การอ่านหนังสือให้เด็กฟังก่อนนอน และมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ  จะช่วยกระตุ้นความอยากรู้ของเด็กต่อเนื้อหาในหนังสือมากยิ่งขึ้น
คนที่ชอบอ่านหนังสือในห้องนอน  สะท้อนถึงการชอบนอนอ่านและความเป็นส่วนตัว   สำหรับผู้ที่มีบุตรหลานใช้โอกาสก่อนเข้านอนเล่านิทานให้บุตรหลานฟัง หรือใช้เวลาสำหรับการอ่านหนังสือร่วมกัน โดยนิทานที่อ่านให้บุตรหลานฟัง มีทั้งนิทานพื้นบ้าน นิทานอีสป
หากเป็นหนังสือสำหรับเด็ก จะมีเนื้อหาที่ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์  เกี่ยวกับสุขลักษณะนิสัย และพฤติกรรมของเด็ก  เช่น  หมีน้อยไม่ยอมสระผม  หนูนิดไม่อยากไปโรงเรียน  หนูนิดไม่ชอบทานผัก     ช้างขี้โมโห   ร่างกายของฉัน    และส่วนใหญ่นิทานที่ผู้ปกครองเลือกมาเล่าหรืออ่านให้ฟัง จะเป็นนิทานสำหรับเด็ก เสริมสร้างจินตนาการ  สร้างเสริมลักษณะนิสัย  ความสัมพันธ์ในครอบครัว และสอดเทรกเนื้อหาสอนใจให้กับเด็กๆ ด้วย  เช่น  กระต่ายกับเต่า  เด็กเลี้ยงแกะ  ลูกหมูสามตัว   สโนวไวท์    และในจำนวนนิทานที่เล่าให้เด็กฟังพบว่ามีนิทานเรื่องพระเวสสันดร  สุวรรณสาม  รามเกียรติ์  ที่เป็นวรรณคดีไทยรวมอยู่ด้วย
3. ส่งเสริมให้เด็กพกหนังสือติดกระเป๋าตลอดเวลา  เพื่อให้เด็กหยิบมาอ่านได้ทันทีเมื่อมีเวลาว่าง
สำหรับเด็กเพิ่งเริ่มอ่านให้เริ่มต้นจากหนังสือภาพที่เนื้อหาสั้น เข้าใจง่าย  มีภาพสวยงาม และเด็กเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง  โดยผู้ปกครองอ่านให้ฟัง สลับกับให้เด็กอ่านให้ผู้ปกครองฟังจนกระทั่งเด็กสามารถอ่านได้ด้วยตนเอง
4. เล่านิทานประกอบกิจกรรม
ผู้ปกครองควรอ่านออกเสียงและให้เด็กอ่านตาม พร้อมทำกิจกรรมในหนังสือ เช่น วาดรูประบายสี    ทำท่าทางประกอบการเล่า    ปิดไฟ ส่องเพดานเล่าประกอบกับเงา
5. พาเด็กไปร้านหนังสือ  และให้โอกาสในการเลือกซื้อหนังสือด้วยตัวเอง    หากมีงานเทศกาลเกี่ยวกับหนังสือก็พาเด็กไปร่วมเพื่อให้เห็นบรรยากาศของการ อ่าน

ที่มา : ไทยคิดส์

นอนหงายดีสำหรับผู้หญิง

นอนหงายดีสำหรับผู้หญิง


         ถ้าเป็นคุณย่าคุณยายสมัยโบราณจะ พร่ำสอนว่า เกิดเป็นหญิงนั้นต้องรู้จักท่านั่งท่านอนให้เป็นกุลสตรี โดยเฉพาะท่านอนหงาย นั้น "ห้าม" เด็ดขาดเพราะไม่งาม แต่มาวันนี้นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาออกมาแนะนำว่า
ผู้หญิงควรจะนอนหงายหรือให้แผ่นหลังราบไปกับที่นอนดีที่สุด เพราะการนอนตะแคงจะทำให้หน้าอกของสาวๆ หย่อนคล้อยเสียรูปได้ ในขณะที่นอนคว่ำก็จะมีผลต่อการหายใจ และไม่เหมาะกับสุขภาพ

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

คนไทย 1 ใน 3 ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมเหตุพฤติกรรม "นั่งยอง-ไขว่ห้าง"

คนไทย1ใน3ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมเหตุพฤติกรรม"นั่งยอง-ไขว่ห้าง"

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.)แถลงข่าว"โครงการปลดทุกข์ด้วยรอยยิ้ม โถห้อยขาเสริมสุขผู้สูงวัย" พร้อมรับมอบโถส้วมห้อยขอจากมูลนิธิเอสซีจีจำนวน 840 โถมูลค่า 1.3 ล้านบาท เพื่อมอบให้ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ว่าขณะนี้คนไทยใช้ส้วมนั่งยองในบ้านเรือนมากถึงร้อยละ 86 หรือประมาณ 17 ล้านหลังคาเรือน
จากการศึกษาพบว่า การใช้าส้วมนั่งยองมีผลเสียต่อสุขภาพ โดยผิวข้อเข่าเสื่อม ซึ่งโรคนี้เป็นแล้งจะทุกข์ทรมาน รักษาไม่หายขาด ลุกนั่งเดินลำบาก สธ.จึงรณรงค์ให้คนไทยใช้ส้วมชนิดเป็นโถนั่ง (ส้วมห้อยขา) แทนการใช้ส้วมนั่งยอง และส่งเสริมให้มีส้วมแบบโถห้อยขาใช้ในบ้านและสถานที่สาธารณะตั้งเป้าให้บ้าน เรือนส้วมชนิดเป็นโถนั่งร้อยละ 50 ในปี  2556 และครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2558  ส่วนสถานที่สาธารณะให้มีร้อยละ 90 ภายในปี 2558 โดยในปีแรกมีเป้าหมายพัฒนาส้วมสาธารณะในสถานีบริการจำหน่ายน้ำมัน เชื้อเพลิง โรงพยาบาล และสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง
ด้าน ภญ.กุสุมา ไตรวิทยานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิโรคข้อในพระราชูปถัมถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาน สยามบรมราชกุมารีกล่าวว่า จาก สถิติพบคนไทย 1 ใน 3 มักจะป่วยด้วยโรคข้อ โดยเฉพาะโรคข้อเข่าเสื่อมซึ่งพบได้มากที่สุด ซึ่งขณะนี้โรคข้อเข่าเสื่อมไม่ได้จำกัดว่าเป็นโรคเฉพาะของผู้สูงอายุแล้ว เท่านั้น แต่สามารถพบได้ทุกวัย เนื่องจากโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากพฤติกรรม โดยคนทีอายุน้อยกว่า 30 ปีพบว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมเพียงร้อยละ 1 อายุน้อยกว่า 40 ปี พบร้อยละ 10 และอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบมากถึง ร้อยละ 50
"พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่สามารถก่อให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้นั้นมี มาก ทั้งการนั่งที่ไม่ถูกวิธี ทำให้ปวดหลังปวดไหล่ อาทิ การนั่งยอง นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งไขว่ห้างซึ่งจะกลายเป็นการทำร้ายข้อโดยไม่รู้ตัว ทำให้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น อาการที่สังเกตได้ชัดว่าเป็นข้อเข่าเสื่อมคือ นั่งยองแล้วไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดังนั้นคนไทยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดข้อเข่าเสื่อม"ภญ.กุสุมากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วัยรุ่นไทยมีเซ็กซ์ครั้งแรกอายุ 15 ปี เมินถุง-ท้องก่อนวัย-ติดโรคทางเพศพุ่ง

สธ. พบหญิงไทยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุ 15-16 ปี ก่อให้เกิดปัญหาท้องก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการป้องกันและเสี่ยงต่อโรคทางเพศสัมพันธ์สูง
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ สัมภาษณ์เกี่ยวกับการวางแผนพัฒนาคุณภาพประชากรไทยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพประชากรไทยทุกกลุ่มอายุ ซึ่งปัจจุบันไทยประสบปัญหาทั้งด้านจำนวนและคุณภาพประชากร โดยโครงสร้างประชากรมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากประสบผลสำเร็จในการวางแผนครอบ ครัวตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ทำให้อัตราการเพิ่มของประชากรลดลง ล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2553 มีเพียงร้อยละ 0.5 หญิง ไทยมีบุตรโดยเฉลี่ย 1.5 คน ซึ่งต่ำกว่าอัตราทดแทนคือพ่อแม่รวม 2 คน ทำให้ประชากรวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง ในอนาคตอาจจะต้องนำเข้าแรงงานที่มีคุณภาพจากต่างประเทศมาทดแทน ในขณะเดียวกันประชากรสูงอายุกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นและก้าวสู่สังคมของผู้สูง อายุ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 12 ของ ประชากรทั้งประเทศ
ประการสำคัญยังมีปัญหาคุณภาพวัยรุ่นที่จะเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตจากพฤติกรรม เสี่ยงทางเพศที่ไม่ได้ป้องกัน เนื่องจากวัยรุ่นไทยในปัจจุบันมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุน้อยลงเรื่อยๆ จากอายุ 18-19 ปี เมื่อ พ.ศ. 2539 เป็นอายุ 15-16 ปี เมื่อ พ.ศ. 2552 อัตราการคลอดบุตรของวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี เพิ่มจาก 50.3 เมื่อ พ.ศ. 2548 เป็น 54.9 ต่อกลุ่มหญิงอายุ 15-19 ปี ทุกๆ 1,000 คน เมื่อปี 2554
วัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกใช้ถุงยางอนามัยไม่ถึงร้อยละ 40 ทำให้อัตราป่วยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในเยาวชนอายุ 15-24 ปี สูงขึ้นจาก 23.5 เมื่อ พ.ศ. 2545 เป็น 79.8 ต่อประชากรวัยนี้ทุก 100,000 คน เมื่อ พ.ศ. 2553 ต้นเหตุปัญหามาจากการขาดความรู้ เช่น ความเข้าใจผิดคิดว่าร่วมเพศครั้งเดียวไม่ตั้งครรภ์ การใช้ถุงยางอนามัยขัดขวางความรู้สึกทางเพศ เป็นต้น