วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เตือนระวัง กินทุเรียนในหน้าร้อน

ที่มา : MGR Online  
เตือนกินทุเรียนหน้าร้อนต้องระวัง thaihealth
แฟ้มภาพ
 
นักโภชนาการเตือนหน้าร้อนระวังการกินทุเรียน ชี้ให้พลังงาน น้ำตาล น้ำมันสูงปรี๊ด
นางกุลพร สุขุมาลตระกูล นักวิชาการโภชนาการชำนาญการพิเศษ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า แม้ทุเรียนจะมีสารอาหารมากมาย ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร แต่ก็มีพวกกำมะถัน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำตาลในปริมาณมาก ทำให้เมื่อกินทุเรียนร่างกาย จึงได้รับพลังงานสูง ช่วงอากาศร้อนเช่นนี้ การรับประทานทุเรียนจึงเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวัง ปัจจุบันมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร จัดบุฟเฟ่ต์ผลไม้ มีทุเรียนเป็นจุดขาย
ดังนั้น การกินทุเรียนให้มีสุขภาพดี จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจที่จะดูแลตนเองด้วย โดยเริ่มที่หากกินทุเรียนครึ่งเม็ดกลาง ร่างกายจะได้รับพลังงานประมาณ 200 กิโลแคลอรี เทียบกับกินข้าวยำปักษ์ใต้ 1 จาน หรือเท่ากับกินก๋วยเตี๋ยวปลาเส้นเล็กน้ำ 1 ชาม หรือเท่ากับข้าวราดแกงส้มผักรวม 1 จาน
นางกุลพร กล่าวว่า กรมอนามัยแนะนำให้ผู้ชายวัยทำงาน ไม่ควรกินน้ำตาลและน้ำมันเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน ผู้หญิงวัยทำงานไม่ควรกินน้ำตาล และน้ำมันเกินวันละ 4 ช้อนชา อย่างไรก็ตาม หากกินทุเรียนหนึ่งเม็ดกลาง ก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาล 4 ช้อนชา และได้รับน้ำมันถึง 3 ช้อนชาแล้ว จึงไม่เหมาะสมที่ผู้บริโภคจะกินอาหารรสหวาน
สิ่งที่ควรทำ คือ เลือกอาหารที่ใช้วิธีการปรุงที่ไม่ใช้น้ำมัน กะทิ และไม่หวาน ควรลดอาหารกลุ่มข้าว แป้งลง และควรเดินเล่นประมาณ 30 นาที ส่วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ต้องกินให้น้อยที่สุด ส่วนผู้ป่วยโรคไตต้องห้ามกินเด็ดขาด เพราะทุเรียนจะมีโพแทสเซียมสูง ส่งผลให้ทวีความรุนแรงของไตได้

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

“อ้วนลงพุง” ไม่ใช่สิ่งดี

หลายคนอาจมองว่าเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น การมีรูปร่างท้วมหรือมีพุงซักนิด จะทำให้บุคลิกดีขึ้น ดูภูมิฐานมากขึ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือมาดอาเสี่ยนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วอ้วนลงพุงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่กลับเป็นสิ่งที่น่ากลัว และเป็นอันตรายต่อผู้ไว้พุงเป็นอย่างยิ่ง

          คนที่อ้วนลงพุงนั้นเกิดจากการไขมันสะสมในช่องท้องปริมาณมาก ยิ่งคุณอ้วนเท่าไรแสดงว่าไขมันยิ่งสะสมมากขึ้นเท่านั้น โดยไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่กระแสเลือด มีผลยับยั้งการออกฤทธิ์ของอินซูลินในร่างกาย ทำให้การเผาผลาญสารอาหารของร่างกายผิดปกติ เกิดภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น น้ำตาลในเลือดสูง คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรังที่ร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคมะเร็ง

          อ้วนลงพุงนั้นมองผิวเผินอาจฟังดูไม่น่ากลัวใครๆ ก็เป็น แต่ในความเป็นจริงรอบพุงที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 5 ซม. จะเพิ่มโอกาสเกิดโรคเบาหวาน 3-5 เท่า ซึ่งโรคเบาหวานนั้นถือว่าอันตรายกว่าโรคเอดส์เสียอีก เพราะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตถึง 3.2 ล้านคนต่อปี ขณะที่เชื้อเอชไอวีฆ่าคนไปปีละประมาณ 3 ล้านคน เท่านั้นยังไม่พอการที่อ้วนหรือลงพุงยังทยอยตามมาด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 3 สาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะกล่าวว่า พุงยิ่งใหญ่เท่าไร ยิ่งตายเร็วเท่านั้น

          จากการสำรวจสภาวะสุขภาพของคนไทยพบว่า ตั้งแต่ปี 2534 มีประชากรน้ำหนักเกินอยู่ราวๆ 20 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาในปี 2540 ขยับเพิ่มเป็น 25 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2543 ตัวเลขขึ้นมาถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และล่าสุด 34.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2547 และคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าหากไม่มีการแก้ไข คนไทยเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศคงมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ อัมพฤต อัมพาต โรคมะเร็ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน

          การจะรู้ว่าตัวเองอ้วนหรืออ้วนลงพุงนั้นทำได้ไม่อยาก สามารถวัดได้เอง ซึ่งการวัดว่าอ้วนหรือไม่นั้นทำได้โดยการวัดดัชนีมวลกาย โดยใช้น้ำหนักที่มีหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วย ส่วนสูงที่เป็นเมตร 2 ครั้ง เช่นผู้มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัม ส่วนสูง 170 ซม. ก็ใช้น้ำหนักซึ่งก็คือ 70 หารด้วยส่วนสูงที่เป็นเมตรซึ่งก็คือ 1.7 เมตร 2 ครั้ง โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ 20.76 กิโลกรัมต่อ ตร.ม. หากดัชนีมวลกายมีค่าตั้งแต่ 23-24.9 ถือว่าน้ำหนักเกิน แต่หากดัชนีมวลกายมีค่าตั้งแต่ 25 ขึ้นไปถือว่าอ้วน

          นอกจากนี้การวัดว่าอ้วนลงพุงหรือไม่นั้นก็สามารถทำได้โดยการวัดรอบพุงบริเวณตำแหน่งขอบบนของกระดูกสะโพก ซึ่งก็ตรงกับตำแหน่งที่เราท้าวสะเอว โดยวัดในขณะที่หายใจออก หากรรอบพุงตั้งแต่ 80 ซม.ขึ้นไปในผู้หญิง หรือตั้งแต่ 90 ซม.ขึ้นไปในผู้ชาย ก็ถือว่าอ้วนลงพุง

แล้ววันนี้ท่านตรวจร่างกายท่านเองแล้วหรือยัง ว่าท่านมีรูปร่างผิดปกติหรือไม่?

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

พุงโตแบบแอปเปิ้ลอันตราย

 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์

lภาพประกอบจากแฟ้มภาพ

พุงโตแบบแอปเปิ้ลอันตราย thaihealth
แฟ้มภาพ
ศูนย์แพทย์หัวใจที่เมืองซอลต์เลก ซิตี ของอเมริกา ได้ประกาศชัดแจ้งว่า การระวังรักษาสุขภาพหัวใจ ไม่ต้องไปคอยพะวงกับการคิดคำนวณดัชนีมวลกาย หากแต่ให้ระวังขนาดโตของพุงจะดีกว่า คอยดูว่าพุงมีลักษณะอ้วน เหมือนกับลูกแพร์ น้ำหนักส่วนใหญ่ไปอยู่ที่สะโพก ยังดีกว่าที่ไปพอกจนกลมเหมือนกับลูกแอปเปิ้ล เพราะน้ำหนักไปอยู่ที่ท้อง
ผู้ที่เป็นเบาหวานทั้ง 2 ชนิด ถูกเตือนให้ระวังพุงโตแบบลูกแอปเปิ้ล อาจเป็นโรคหัวใจร้ายแรง แม้จะยังไม่มีอาการใดๆ ทั้งนี้เพราะพุงโตแบบนั้น ส่อให้เห็นถึงความผิดปกติในไฟธาตุ ซึ่งเป็นเหตุให้ความดันโลหิต น้ำตาลในเลือดสูงและไขมันด้วย รวมทั้งโรคของหลอดเลือดหัวใจและหัวใจวาย โรคมาจากไฟธาตุเหล่านี้ มักจะเป็นเพราะมีไขมันไปพอกแถวรอบๆ ท้องมากเกินไป
แพทย์ผู้ชำนาญ กล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้เป็นการยืนยันว่า ผู้ที่พุงโตลักษณะลูกแอปเปิ้ลอาจจะก่อให้เกิดโรคหัวใจ เหตุนั้นถ้าหากสามารถลดขนาดโตของพุงลงไปได้ ก็เท่ากับลดอันตรายของตัวเองนั่นเอง
ลิ้ง

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กินถูกหลัก ช่วย ”ตับ” แข็งแรง


กินถูกหลัก ช่วย ”ตับ” แข็งแรง

ที่มา : รศ.พญ.ปรียานุช แย้มวงษ์  ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
กินถูกหลัก ช่วย ”ตับ” แข็งแรง thaihealth
แฟ้มภาพ
ตับ เป็นอวัยวะสำคัญ และใหญ่ที่สุดของร่างกายที่มีเพียงหนึ่งเดียว แต่มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ทั้งทำลายสารพิษต่างๆ ที่เข้าไป หรือสร้างขึ้นภายในร่างกาย ทำลายหรือทำให้ยาต่าง ๆ ออกฤทธิ์ดีขึ้น สร้างน้ำดี สารที่ทำให้เลือดแข็งตัว และฮอร์โมนหลายชนิด รวมทั้งมีบทบาทสำคัญต่อภูมิต้านทานของร่างกาย ควบคุมการเผาผลาญและสร้างสารอาหารหลาย ๆ ชนิด เช่น สร้างน้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโนและโปรตีน ไขมันทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล ทำให้วิตามินทำงานได้ดีขึ้น และเป็นแหล่งสะสมวิตามินหลายชนิด
ตับจึงเปรียบเสมือนแผนกพลาธิการของร่างกาย เพราะควบคุมการใช้สารอาหารส่วนใหญ่ ดังนั้นเมื่อตับทำงานไม่ปกติ จึงทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้มาก และอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ การถนอมรักษาตับจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าป่วยแล้วล่ะ กินถูกหลักจะช่วยได้หรือไม่ อย่างไร
การกินอาหารถูกหลักในคนที่ป่วยเป็นโรคตับจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับโรคและระยะของโรค เช่น
- ตับอักเสบจากสุรา ถ้าขาดอาหารจะมีอัตราตายสูงกว่าคนที่ไม่ขาด และถ้าได้รับสารอาหารครบถ้วนในปริมาณเพียงพอ จะช่วยการฟื้นตัวของตับให้ดีขึ้นได้
- ตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ ถ้าได้รับอาหารครบถ้วนในปริมาณเพียงพอ จะช่วยการฟื้นตัวของตับให้ดีขึ้นได้
- ไขมันแทรกในตับ ในขณะนี้ การลดอาหารและลดน้ำหนักเป็นวิธีเดียวที่ได้ผลในการลดปริมาณไขมันที่แทรกในเซลล์ตับ และลดความเสี่ยงของการเกิดตับแข็งตามมา
- ตับแข็ง มีการดัดแปลงสารอาหารบางอย่างที่จะลดอาการของคนที่ป่วยได้ เช่น ถ้าบวมหรือมีน้ำในท้อง ต้องลดเกลือโซเดียมและอาหารเค็ม ถ้ามีอาการหมดสติหรือซึมจากตับวาย การปรับปริมาณและประเภทของโปรตีน จะช่วยลดอาการของผู้ป่วยได้
- มะเร็งตับ ถึงแม้ว่าอาหารจะไม่แก้ไขโรคมะเร็ง แต่การกินอาหารให้ถูกหลักจะช่วยเตรียมสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้พร้อมรับการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด หรือการให้ยาอื่น ๆ
กินถูกหลัก ช่วย ”ตับ” แข็งแรง thaihealth
กินถูกหลัก ช่วยสร้างเสริมตับได้จริงนะ
ในภาวะปกติ :ไม่จำเป็นต้องเลือกกินอาหารแบบใดเป็นพิเศษเพื่อบำรุงตับ เพียงแค่กินอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อตับ ตามที่ได้กล่าวถึงไว้แล้วเท่านั้น
ในกรณีที่มีตับอักเสบ :หรือผู้ป่วยตับแข็งระยะต้น ๆ ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอ เพื่อช่วยการซ่อมแซมตับและทำให้การฟื้นตัวดีขึ้น ป้องกันภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องงดไขมัน
ยกเว้น มีอาการท้องอืดหลังกินอาหารมัน ๆ และไม่ต้องกินคาร์โบไฮเดรตเพิ่ม ในขณะที่มีตับอักเสบตามความเชื่อสมัยก่อน เพราะทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นมากได้ 
ในระยะที่มีตับอักเสบ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินวิตามินเสริม เพื่อช่วยในการซ่อมแซมตับ แต่ไม่ควรซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกินเองในช่วงนี้ เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อการทำงานของตับได้
ถนอมตับไว้ไม่ให้สึกหรอก่อนวัย วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันโรคที่ป้องกันได้ เช่น
- ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ
- ระวังการกินยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ
- งดหรือลดการดื่มสุรา
- งดกินปลาดิบ เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ในตับ
- ลดหรือหลีกเลี่ยงอาหารซึ่งจะมี”อฟลาทอกซิน”ปนเปื้อน
สำหรับการกินอาหารเพื่อถนอมรักษาตับ ประเด็นที่สำคัญ คือ ป้องกันโรคอ้วนและหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีคาร์โบโฮเดรตสูงต่อเนื่องในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้มีไขมันแทรกในตับได้มากขึ้น
ฝากไว้อีกนิด ”ตับ” เป็นอวัยวะที่สำคัญมากในการดำรงชีวิต และมีเพียงชั้นเดียว การถนอมรักษาตับเพื่อป้องกันตับแข็งและมะเร็งตับ จึงมีความสำคัญมาก และควรป้องกันตั้งแต่ยังไม่เกิดโรคจะดีกว่ารอให้เกิดปัญหาแล้วจึงมาดูแลค่ะ

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

กินอย่างไร คุมเบาหวานให้อยู่หมัด thaihealth
อาหาร มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาโรคเบาหวาน ซึ่งคนเป็นเบาหวานมักจะละเลยในเรื่องของอาหารการกิน โดยอาจคิดว่าเมื่อได้กินยาแล้ว คงหายเหมือนกับโรคทั่วไป ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด
เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด ซึ่งการใช้ยารักษาเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ดังนั้น การควบคุมอาหารและรู้จักเลือกกินอาหารที่เหมาะสม ในปริมาณที่ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกาย ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวานได้
นพ.ประสิทธิ์ ลีวัฒนภัทร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ได้เล่าถึงอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ภายในงาน “เปลี่ยนเบาหวาน ให้เป็นเบาหวิว” ในโครงการ SOOK Activity โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ไว้ว่า หัวใจสำคัญของการควบคุมเบาหวาน คือ การกินอาหารให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย โดยไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะการกินที่มากเกินจะทำให้น้ำตาลขึ้นสูงหรือขึ้นเร็ว ในขณะเดียวกันหากกินน้อยไป อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตรายได้
คุณหมอประสิทธิ์ บอกอีกว่า ความจริงแล้วหลักการกินอาหารสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ไม่ได้แตกต่างจากหลักการกิน เพื่อให้มีสุขภาพดีของคนทั่วไป เป็นการกินอาหารให้ครบหมู่ ถูกสัดส่วน ในปริมาณพอเหมาะ และมีความหลากหลาย
โดยอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานแบ่งง่ายๆ เป็น 3 ประเภท ได้แก่
กินอย่างไร คุมเบาหวานให้อยู่หมัด thaihealth1.อาหารที่ “ไม่ควร” รับประทาน
น้ำตาลทุกชนิด เช่น น้ำตาลอ้อย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลก้อน น้ำผึ้ง เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม เช่น น้ำเก๊กฮวย น้ำลำไย ชาเขียว น้ำอัดลม ชา กาแฟปรุงสำเร็จ และขนมหวานต่างๆ เค้ก คุกกี้ โดนัท
ผลิตภัณฑ์นม ได้แก่ นมข้นหวาน นมปรุงแต่งรสหวาน โยเกิร์ตปรุงแต่งรสชาติ นมเปรี้ยว
ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้เชื่อม ผลไม้ตากแห้ง เช่น กล้วยตาก ลูกเกด ลูกพลับ ลูกพรุน อินทผลัมตากแห้ง รวมถึงผลไม้ในน้ำเชื่อมบรรจุกระป๋อง
อาหารที่ปรุงด้วยไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันสัตว์ ไส้กรอก หมูสามชั้น น้ำมันมะพร้าว แกงกะทิ ไขมันนม เนย ครีม
เนื่องจากอาหารเหล่านี้ มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นรวดเร็ว ซึ่งเป็นอันตรายจึงควรหลีกเลี่ยง
กินอย่างไร คุมเบาหวานให้อยู่หมัด thaihealth
2.อาหารที่รับประทานได้ “ไม่จำกัดปริมาณ”
ผักก้าน ผักใบ ผักใบเขียวทุกชนิด ควรรับประทานทุกวัน และทุกมื้อให้หลากหลายชนิดในหนึ่งวัน อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่แคลอรี่ต่ำ และมีใยอาหารสูง ทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลง อีกทั้งใยอาหารยังช่วยดูดซับน้ำตาล ไม่ให้เข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไป ทำให้ร่างกายสามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้พอดี ได้แก่ ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้ง ตำลึง บวบ มะเขือ ฟัก แตงกวา น้ำเต้า ถั่วฝักยาว ถั่วงอก เป็นต้น จะรับประทานในรูปของผักสด หรือผักต้มก็ได้ แต่ไม่แนะนำในรูปของน้ำผักปั่น โดยเฉพาะน้ำผักปั่นแยกกาก ทำให้เราได้รับใยอาหารไม่ได้มากเท่าที่ควร
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกยังได้กำหนดให้บริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับปริมาณ 4-6 ทัพพี แต่หากเป็นผักต้มสุกจะต้องเพิ่มเป็น 2 เท่า   ขณะที่  สสส.ได้เผยผลวิจัยพบว่า การกินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ร้อยละ 33 และโรคมะเร็งได้ร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับคนที่กินผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์
3.อาหารที่รับประทานได้ แต่ต้อง "จำกัดปริมาณ”
กินอย่างไร คุมเบาหวานให้อยู่หมัด thaihealth
อาหารประเภทข้าว แป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มัน ฯลฯ อาหารเหล่านี้มีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าน้ำตาล และมีโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย โดยอาหารจำพวกแป้งจะถูกย่อยเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาล และเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย ผู้เป็นโรคเบาหวานจึงไม่ควรงดหรือจำกัดจนเกินไป ควรได้รับให้เหมาะสมกับแรงงานและกิจกรรมที่ทำ การจำกัดข้าวหรือแป้งมากเกินไปกลับเป็นผลเสีย เพราะระดับน้ำตาลในเลือดอาจต่ำ เกิดอาการหิว ส่งผลให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้
ผลไม้ ผลไม้แต่ละชนิดจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตแตกต่างกัน ซึ่งคาร์โบไฮเดรตในผลไม้อยู่ในรูปแบบของน้ำตาล โดยผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลมาก เช่น ทุเรียนมีน้ำตาลประมาณ 30 - 35% ส้มมีน้ำตาลประมาณ 10% และมะขามหวาน มีน้ำตาลมากถึง 75 - 80% ซึ่งผลไม้ยิ่งหวานมาก ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากขึ้นด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ลำไย ทุเรียน มะม่วงสุก องุ่น เป็นต้น
ถึงแม้ว่าผลไม้จะมีน้ำตาล แต่ก็ยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงไม่ควรงด แต่ควรกินตามปริมาณที่กำหนด โดยแนะนำว่าสามารถกินได้วันละ 2-3 มื้อ ในปริมาณ 7-8 ชิ้น คำ/มื้อ
การจะควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่หมัด จำเป็นต้องลดทั้งหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผัก รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลทั้งหมดนี้ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นสิ่งสำคัญที่จะดูแลสุขภาพของเราได้อย่างยั่งยืนลิ้ง

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

รวมพลัง หยุดความรุนแรงสตรี

โดย 
|
สตรีห่างไกล เท่าเทียมชายภาวะผู้นำ thaihealth
สตรีจังหวัดบึงกาฬประมาณ 3 พันเดินรณรงค์รวมพลังสตรีสร้างความปรองดองร้องหยุดความรุนแรงต่อสตรี
กลุ่มพลังสตรีจาก 8 อำเภอของจังหวัดบึงกาฬกว่า 3 พันคนร่วมกันเดินรณรงค์ เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ เพื่อรวมพลังองค์กรสตรี สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ยุติความรุนแรงต่อสตรี การถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหง ค่าจ้างแรงงานต่ำ และถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ พร้อมเรียกร้องให้การปฏิรูปประเทศที่กำลังขับเคลื่อนขณะนี้ สร้างความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง แสดงพลังให้สตรีทั่วโลกได้ลุกขึ้นมาปกป้องความเป็นสตรีให้มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับชาย ให้เกิดการยอมรับความเท่าเทียมกัน
เนื่องจากวันที่ 8 มีนาคมของทุกปีองค์การสหประชาชาติกำหนดให้เป็น “วันสตรีสากล” มติที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดบึงกาฬ ได้กำหนดให้มีการจัดงาน “วันสตรีสากล” ประจำปี 2558 ขึ้นภายใต้ชื่อ มหกรรมรวมพลังองค์กรสตรี สร้างความปรองดองสมานฉันท์ เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2558 เพื่อให้สตรีจังหวัดบึงกาฬรวมตัวกันแสดงพลังในวันสตรีสากล ซึ่งเมื่อก่อนสตรีจะถูกเอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหง ค่าจ้างแรงงานต่ำ และถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ จนกระทั่งสตรีจำนวนหนึ่งได้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของตนเอง
พร้อมให้สตรีทั่วโลกได้ลุกขึ้นมาปกป้องความเป็นสตรีให้มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับชาย จนเกิดการยอมรับความเท่าเทียมกันจนถึงปัจจุบัน และการจัดงานในวันนี้มีสตรีจังหวัดบึงกาฬทั้ง 8 อำเภอประมาณ 2,000 คนมาร่วมงานและเดินรณรงค์แสดงพลังของสตรีจังหวัดบึงกาฬให้ทุกคนได้เห็นถึงพลังและศักยภาพของสตรีจังหวัดบึงกาฬซึ่งไม่แพ้สตรีอื่นใดในโลก

 link
ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กิน‘ส้มตำปูปลาร้า‘ หน้าร้อนต้องระวัง

โดย 
‘ส้มตำปูปลาร้า‘ กับเชื้อก่อโรค thaihealth
ส้มตำ อาหารไทยยอดนิยมที่ติด 1 ใน 50 ของอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกจากการสำรวจของเว็บไซต์ CNN go เมื่อปี 2554 ทำให้วันนี้ส้มตำเป็นเมนูที่ชาวต่างชาตินิยมรับประทานอย่างเป็นล่ำเป็นสัน อาจเพราะปัจจุบันพ่อค้าหันมาปรับรสชาติ และเพิ่มส่วนประกอบให้ทานง่ายขึ้น เช่น ส้มตำไข่เค็ม ส้มตำหมูย่าง ส้มตำไก่ย่าง เป็นต้น
แต่ก็ยังไม่สามารถแทนที่ส้มตำดั้งเดิมที่มีแค่ปู-ปลาร้าได้ ซึ่งจะอร่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใส่อย่างปูและปลาร้า ปลาร้าที่มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม ไม่เค็มเกินไป นำมาปรุงรสที่เป็นเคล็ดลับของแต่ละร้าน ต้มจนสุกจะได้น้ำปลาร้าปรุงสำเร็จ
ที่สำคัญ ต้องเป็นน้ำปลาร้าที่สะอาดและปลอดภัยจากเชื้อโรคที่ทำให้ท้องเสีย หรืออาหารเป็นพิษ เช่น เชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส ที่อาจปนเปื้อนมากับวัตถุดิบที่ต้องสัมผัสกับมือผู้ปรุง ผู้ขาย ทั้งวัตถุดิบหลัก มะละกอ ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ และผักที่เป็นเครื่องเคียง เช่น ผักบุ้ง กะหล่ำปลี
อาหารที่ต้องสัมผัสกับมือคนโดยไม่ผ่านความร้อนก่อนรับประทาน ต้องระวัง เพราะสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส เป็นเชื้อที่สามารถสร้างสารพิษที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทนความร้อน
ฉะนั้น ผู้ที่ชื่นชอบส้มตำต้องระวังอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นอาหารที่ไม่ผ่านความร้อนเลยยกเว้นปลาร้าต้มสุก ถ้าร้านไหนไม่มีการต้มน้ำปลาร้าก็ให้หลีกเลี่ยง ไม่เช่นนั้นอาจต้องล้มหมอนนอนเสื่อกับโรคอาหารเป็นพิษได้ ซึ่งทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
สถาบันอาหาร ได้ทำการสุ่มตัวอย่าง ส้มตำปู-ปลาร้า เพื่อวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของเชื้อดังกล่าว ผลปรากฏว่ามี 1 ตัวอย่าง ที่พบเชื้อชนิดนี้ปนเปื้อน แต่ปริมาณที่พบยังไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่กำหนดให้อาหารพร้อมบริโภคพบเชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 100 ซีเอฟยู/กรัม
ขอแนะว่าหน้าร้อนอย่างนี้ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท เลือกซื้อส้มตำจากร้านที่มั่นใจในเรื่องความสะอาด และใช้ปลาร้าต้มสุกจะดีกว่า


ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

สวีเดน` ดีที่สุด สำหรับ `วัยเกษียณ`

ภายในปี 2573 หนึ่งในสี่ของประชากรโลกราว 1.4 พันล้านคน ชาวยุโรปจะมีอายุ 60 ปี หรือมากกว่านั้น ในขณะที่ตัวเลขของชาวแอฟริกันจะอยู่ที่เพียงแค่ร้อยละ 6 เท่านั้น
สวีเดน คือประเทศที่น่าอยู่ที่สุดตาม 'ตัวชี้วัด' ขององค์กรการกุศลของประเทศอังกฤษอย่าง helpage international โดยระบุตัวชี้วัดไว้ 4 ตัว ได้แก่ ความมั่นคงทางรายได้ สุขภาพ การจ้างงานและการศึกษา รวมถึงสิ่งแวดล้อมทางสังคม
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเป็นประเทศร่ำรวยที่สามารถบรรลุตัวชี้วัดเหล่านี้ได้ อีกทั้ง ตัวชี้วัดทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศร่ำรวยในการพัฒนาประเทศโดยรวม เพราะในอนาคตประเทศร่ำรวยจะมีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุด
เมื่อเปรียบเทียบตัวชี้วัดกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีแล้ว พบว่า แม้ประเทศที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและทางสังคมที่คล้ายกัน แต่กลับมีประสบการณ์ในเรื่องผู้สูงอายุที่แตกต่างกัน โดยที่ประเทศเกาหลีใต้ได้คะแนนต่ำกว่าสเปนและอิตาลี ทั้งที่ระดับจีดีพีมีความเท่าเทียมกันกับสองประเทศ ขณะที่นิวซีแลนด์ได้คะแนนสูงเป็นสองเท่า
ในบางกรณีประเทศยากจนสามารถเป็นบทเรียนให้แก่ประเทศร่ำรวยได้ เช่น ผู้สูงอายุในประเทศศรีลังกา โบลิเวีย และมอริเชียส มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า กรีซ ตุรกี และรัสเซีย นอกจากนี้ ความแตกต่างของตัวเลขผู้สูงอายุในเชิงภูมิภาคจะเพิ่มขึ้นด้วย กล่าวคือ ภายในปี 2573 หนึ่งในสี่ของชาวยุโรปจะมีอายุ 60 ปี หรือมากกว่า ในขณะที่ตัวเลขของชาวแอฟริกันจะอยู่ที่เพียงแค่ร้อยละ 6 เท่านั้น


ที่มา : http://www.economist.com/blogs/graphicdetail/2013/10/daily-chart