วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

“เกลือแร่” เลือกให้ดี ดื่มให้เป็น

เรื่องโดย : พัชรี  บอนคำ team content www.thaihealth.or.th
“เกลือแร่” เลือกให้ดี ดื่มให้เป็น  thaihealth
แฟ้มภาพ
หน้าร้อนมาเยือนอย่างเต็มตัว แทบจะไม่อยากกระดิกตัวออกไปไหน เพราะแค่เดินออกไปรับไอแดดตรงประตูตอนเที่ยงวัน หรือออกกำลังกายเบาๆ เหงื่อก็ไหลออกมาเป็นทาง รวมไปถึงหน้าร้อนเมื่อไรการเลือกกินอาการยิ่งต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เนื่องจากฤดูร้อนเหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ส่งผลให้อาหารเกิดการบูดเน่าเสียได้ง่าย เช่น โรคบิด โรคท้องร่วง และอหิวาตกโรค
            สิ่งหนึ่งถ้าหากเราเพิ่งออกกำลังกายมา หรือเกิดท้องเสีย “เกลือแร่” ถือเป็นตัวช่วยอันดับต้นๆ ที่เราจะเลือกหามากินทดแทนเหงือหรือน้ำที่เสียไปจากร่างกาย แต่เราทราบหรือไม่ว่าเกลือแร่ ที่ดื่มตอนออกกำลังกาย กับดื่มตอนท้องเสียนั้นมีความแตกต่างกัน
            โดยทั่วไปเกลือแร่ในท้องตลาดมีอยู่ 2 ประเภท คือ เกลือแร่สำหรับคนที่ท้องเสีย (Oral Rehydration Salt ย่อว่า ORS) กับเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย (Oral Rehydration Therapy ย่อว่า ORT)
“เกลือแร่” เลือกให้ดี ดื่มให้เป็น  thaihealth
            เกลือแร่สำหรับคนที่ท้องเสีย จะเป็นชนิดผงน้ำตาลเกลือแร่หรือที่เรียกว่าผงโออาร์เอส (Oral Rehydration Salt ย่อว่า ORS) การเสียน้ำจากอาการท้องเสีย เป็นภาวะที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ในทันที เพราะฉะนั้นร่างกายของเราจึงต้องการน้ำและเกลือแร่มาทดแทน ซึ่งแตกต่างจากการเสียน้ำหรือเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย ที่ร่างกายจะเสียน้ำและน้ำตาลเป็นหลัก โดยจะเสียเกลือแร่ในปริมาณที่น้อยมาก
นายศิรพัชร ตระกูลพัฒนกร หรือ โค้ชเบส นักวิทยาศาสตร์การกีฬา จากเครือข่ายคนไทยไร้พุง สสส. ได้ให้ความรู้ในการดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกายว่า  “หากจะดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลังกาย อาจต้องดูจากปริมาณเหงื่อที่สูญเสียไป อุณหภูมิ และจำนวนเวลาที่ออกกำลังกาย เพราะต้องดูก่อนว่าตนเองออกกำลังกายหนักขนาดไหน ดูปริมาณเหงื่อ ถ้าเหงื่อออกมาก เราถึงจะเลือกเครื่องดื่มเกลือแร่ทดแทน เช่น คนที่วิ่งมาราธอน, เล่นคาดิโอ้ 45 นาที เป็นต้น แต่ต้องดูปริมาน้ำตาล ในเครื่องดื่มเกลือแร่แต่ละยี่ห้อด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตออกมาเพื่อความอร่อยทำให้มีรสหวาน และถ้าเราออกกำลังกายไม่ถึง หมายความว่า ร่างกายยังไม่ได้เสียน้ำและน้ำตาลออกมาจนเกินไป แล้วไปกินเกลือแร่ ยิ่งจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากขึ้น จนส่งผลให้เกิดความอ้วน จึงขอแนะนำให้เลือกดื่มน้ำเปล่า เพราะการดื่มน้ำเปล่าก็สามารถทดแทนได้เช่นกัน”
“เกลือแร่” เลือกให้ดี ดื่มให้เป็น  thaihealth
จากความแตกต่างดังกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าถ้าเป็นเกลือแร่สำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย ปริมาณเกลือแร่หรือปริมาณโซเดียมจะสูงกว่า ส่วนเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย จะมีปริมาณน้ำตาลจะสูงกว่า
หากเกิดอาการท้องเสีย แต่ไปจิบน้ำเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกายจะยิ่งเป็นการกระตุ้นทำให้เกิดอาการท้องเสียได้มากขึ้น เนื่องจากเครื่องดื่มชนิดนี้จะมีปริมาณน้ำตาลและเกลือแร่บางชนิดที่สูงกว่า ทำให้ร่างกายดึงน้ำเข้ามาในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ลำไส้บีบตัวมากขึ้นกระตุ้นการถ่ายเหลวมากขึ้น
ดังนั้น ก่อนที่จะเลือกใช้เกลือแร่ ควรพิจารณาให้ดีก่อนว่าเกลือแร่นั้นเป็นเกลือแร่สำหรับผู้ที่ท้องเสีย หรือเกลือแร่สำหรับผู้ที่เสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย เพราะถ้าเลือกกินไม่ถูก มีอาการท้องเสีย แต่ไปดื่มเกลือแร่สำหรับออกกำลัง นอกจากไม่หาย อาการอาจทรุดกว่าเดิมอีกด้วย
ทางที่ดีทุกคนควรออกกำลังกายให้เหมาะสม ในสภาพอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป และที่สำคัญอย่าลืมยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่าย ๆ ที่ สสส. เคยบอกไว้ว่า “กินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ” ด้วยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

“ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย

เรื่องโดย : นายฉัตร์ชัย นกดี team content  www.thaihealth.or.th
ขอบคุณข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
“ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย thaihealth
แฟ้มภาพ
 “โรคไวรัสตับอักเสบบี” หลายคนคงจะเคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง ยิ่งล่าสุดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยข้อมูลชวนน่าตกใจว่า คนไทยติดเชื้อมากถึง 4 ล้านคน แล้วโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและมีอันตรายหรือไม่ วันนี้ทีมเว็บไซต์ สสส.มีคำตอบมาฝากกัน 
โรคตับอักเสบบีคืออะไร
ไวรัสตับอักเสบบี คือ โรคตับอักเสบชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดบี แต่ถ้าหากเกิดจากเชื้อไวรัสตัวอื่น ๆ เช่น ไวรัสชนิดเอ ไวรัสชนิดซี ก็จะเรียกชื่อต่างๆ กันไป แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ไวรัสตับอักเสบบี เป็นตัวที่อันตรายและรุนแรงมากที่สุด เพราะเชื้อไวรัสจะซ่อนตัวอยู่ในคน ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งตับ
“ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย thaihealth
การติดต่อของโรค
เชื้อไวรัสตับอักเสบบีนี้จะพบในเลือดมากที่สุด รองลงมาพบในน้ำลาย น้ำตา น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด น้ำดีและน้ำนมของผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ
 การติดต่อของโรคนี้มี 4 ทาง คือ 
1. ติดต่อทางเลือด โดยได้รับเชื้อจากการได้รับเลือดจากผู้ที่เป็นโรคนี้ แต่ปัจจุบันเราพบการติดต่อทางนี้น้อยลง เพราะมีการตรวจเลือดก่อนที่จะนำมาให้คนไข้
2. ติดต่อทางน้ำลาย การรับประทานอาหารร่วมกับคนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีโอกาสจะติดต่อกันได้ง่าย เพราะการรับประทานอาหารของคนไทยมักจะลืมใช้ช้อนกลาง ทำให้มีโอกาสติดโรคนี้ได้ง่าย
3. ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคไวรัสตับอักเสบบี จึงจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่งเช่นเดียวกับโรคเอดส์ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคนี้ จึงมีโอกาสติดโรคไปด้วย
“ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย thaihealth
4. ติดต่อจากแม่สู่ลูก การติดต่อนี้จะมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อได้ในระหว่างคลอด จึงควรมีการตรวจเลือดมารดาในตอนที่ฝากครรภ์ ถ้าพบว่ามารดามีเชื้อโรคนี้อยู่ ควรฉีดวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้
อาการของโรค
ผู้ป่วยโรคตับอักเสบจะมีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดบริเวณชายโครงขวา ซึ่งโรคนี้รักษาไม่หายขาด แต่สามารถกินยาควบคุมเชื้อไวรัส และสิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือผู้ป่วยมักจะเป็นพาหะนำโรคแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้ โดยไม่มีอาการป่วยแสดงออกมา
โรคนี้มีอันตรายขนาดไหน
โรคไวรัสตับอักเสบบี เมื่อเป็นการอักเสบเฉียบพลัน มักไม่รุนแรง แต่ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้สูงอายุหรือเด็ก โรคอาจรุนแรง เซลล์ตับอาจถูกทำลายมากจนเกิดตับวายเฉียบพลัน และเสียชีวิตได้ แต่ในโรคอักเสบเรื้อรังจัดเป็นโรครุนแรง เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ ซึ่งมีความรุนแรงสูง
มียารักษาหรือไม่
ปัจจุบันโรคไวรัสตับอักเสบบี มียารักษาที่ช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดความเสี่ยงที่จะกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับในอนาคตได้ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
“ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย thaihealth
วิธีการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีคำแนะนำ ข้อควรปฏิบัติและการป้องกันจาก “นายแพทย์เจษฏา โชคดำรงสุข” อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1. ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับต่างเพศหรือรักร่วมเพศ ช่วยให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกชนิด
2. ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
3. ไม่สัก ฝังเข็ม หรือเจาะ โดยใช้เข็มหรือหมึกร่วมกัน
3. ไม่ใช้แปรงสีฟันและใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกนหนวด มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
4. ยึดหลัก กินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำต้มสุก รับประทานอาหารปรุงสุกด้วยความร้อน โดยเชื้อไวรัสตับอักเสบจะตายที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส
5. ขับถ่ายอุจจาระลงส้วม ไม่ถ่ายอุจจาระลงน้ำ ไม่แพร่กระจายเชื้อโรคในสิ่งแวดล้อม
  “ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย thaihealth “ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย thaihealth “ไวรัสตับอักเสบบี” รู้ก่อนปลอดภัย thaihealth
6. ฉีดวัคซีนป้องกันให้ครบตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง และควรฉีดเมื่ออายุยังน้อยๆ เพื่อป้องกันก่อนได้รับเชื้อ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด
7. งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสารพิษในบุหรี่และแอลกอฮอล์ จะไปทำลายเซลล์ตับโดยตรง
คำแนะนำเหล่านี้หากปฏิบัติได้ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรค ที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ โดยสามารถใช้เทคนิคง่ายๆ จาก สสส.แค่แกว่งแขนวันละ 30 นาที ลดพุงลดโรค เพียงเท่านี้ไวรัสตับอักเสบบี ก็ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอีกต่อไป

วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

ดื่มอะไรดี? หลังออกกำลังกายในฤดูร้อน

เรื่องโดย อาภาวรรณ โสภณธรรมรักษ์ Team content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
ดื่มอะไรดี? หลังออกกำลังกายในฤดูร้อน thaihealth
ฤดูร้อนแบบนี้ แทบไม่อยากมีใครอยากออกกำลังกายช่วงนี้เลยจริงๆ แต่ด้วยตารางฝึกซ้อมหรือความมุ่งมั่นตั้งใจ แม้ว่าสภาพอากาศจะอบอ้าว และร้อนพุ่งถึง 40 กว่าองศา ก็ไม่อาจทำลายความตั้งใจนักกีฬาได้เลย
แม้ความมุ่งมั่นตั้งใจในการออกกำลังกายมาเป็นอันดับแรก แต่สิ่งหนึ่งของการออกกำลังกายที่สำคัญในช่วงฤดูร้อนแบบนี้คือ “น้ำ” อย่าปล่อยให้ร่างกายเกิดภาวะที่สูญเสียน้ำและเกลือแร่บางชนิด (Dehydration) ถ้าเราได้รับน้ำทดแทนไม่ทันเวลา จะทำให้เกิดอันตรายกับร่างกาย เช่น หน้ามืด เป็นลม เกิดภาวะลมแดด ชัก ความดันต่ำ ไตวาย และอาจถึงขั้นเสียชีวิต
เห็นไหมละคะว่าน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับคนออกกำลังกาย ลองมาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าดื่มน้ำอะไรดีหลังจากการออกำลังกายที่เสียเหงื่อท่ามกลางอากาศร้อน
ดื่มอะไรดี? หลังออกกำลังกายในฤดูร้อน thaihealth
นายศิรพัชร ตระกูลพัฒนกร หรือ โค้ชเบส นักวิทยาศาสตร์การกีฬา จากเครือข่ายคนไทยไร้พุง สสส. ให้คำแนะนำไว้ว่า ในช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้นักกีฬา หรือคนออกกำลังกายทุกคน ควรต้องจิบน้ำ ระหว่างการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ โดยจิบน้ำทุกๆ 15 นาที และเมื่อหลังออกกำลังกายเสร็จแล้วเครื่องดื่มที่นักวิทยาศาสตร์การกีฬาแนะนำ คือ
1) น้ำเปล่า  ซึ่งเป็นน้ำที่สำคัญที่สุดในระหว่าง และหลังการออกกำลังกายทุกชนิด เมื่อร่างกายสูญเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายแล้วนั้น ควรดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวประมาณ 450-590 ซีซี. และควรดื่มน้ำเปล่าที่สะอาดไม่ต่ำกว่าวันละ  8 แก้ว หรือประมาณ 3 ลิตรต่อวัน แต่ถ้าในอากาศร้อนเช่นนี้ ร่างกายอาจต้องการน้ำถึงประมาณ 4 ลิตรต่อวัน เพื่อทดแทนเหงื่อที่ร่างกายขับออกมาระหว่างวันและระหว่างการออกกำลังกาย
2) เกลือแร่ แน่นอนว่าหลังจากที่ร่างกายเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายแล้วนั้น สิ่งที่เสียไปกับเหงื่อด้วยคือ เกลือแร่ต่างๆ เช่น โซเดียม คลอไรด์ โปแตสเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น ซึ่งการสูญเสียเกลือแร่นี้มีผลต่อสมรรถภาพทางกายของนักกีฬา ทั้งนี้การเลือกดื่มเกลือแร่ที่ปัจจุบันมีหลากหลายชนิด ให้เลือกดื่มโดยดูปริมาณของน้ำตาลที่ไม่สูงเกินไป และเมื่อหลังออกกำลังกายอย่างหนักเสร็จแล้ว ก็สามารถดื่มเกลือแร่ชดเชยได้ในปริมาณ 1 ขวด
ดื่มอะไรดี? หลังออกกำลังกายในฤดูร้อน thaihealth
3) น้ำมะพร้าว นับเป็นน้ำผลไม้ยอดฮิตของนักกีฬาเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะทำให้นักกีฬาสดชื่นแล้ว ยังให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายและให้ร่างกายดูดซึมน้ำไปใช้ได้ดีขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นโพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แต่ทั้งนี้ควรเลือกน้ำมะพร้าวจากธรรมชาติ ที่ไม่ผ่านการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มรสหวานจะดีที่สุด
4) น้ำผลไม้สด หลังออกกำลังกายเสร็จแล้วโดยเฉพาะสาวๆ ชอบดื่มน้ำผลไม้สด ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้ม น้ำมะนาว ฯลฯ โค้ชเบสแนะนำว่า เลือกดื่มได้แต่ต้องดูปริมาณน้ำตาลด้วย ผลไม้บางชนิดมีรสหวานโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่บางร้านยังเติมน้ำเชื่อมไปผสม นอกจากสารอาหารในผลไม้ลดลงแล้วนั้น ยังทำให้ร่างกายสะสมน้ำตาลจนกลายเป็นความอ้วนได้อีกด้วย
ดื่มอะไรดี? หลังออกกำลังกายในฤดูร้อน thaihealth
น้ำมีความจำเป็นกับร่างกาย ในทุกๆ วันควรดื่มน้ำให้ได้มากกว่า 3 ลิตร และถ้าหากออกกำลังกาย ร่างกายสูญเสียเหงื่อและเกลือแร่ไปแล้วนั้น ยิ่งต้องดื่มน้ำทดแทนให้ร่างกายเกิดความสมดุล และไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแบบไหนก็ควรดูเรื่องของน้ำตาลหรือน้ำหวานที่ผสมเข้าไปเป็นหลักด้วย แทนที่ร่างกายจะสุขภาพดีจากการออกกำลังกาย กลายเป็นว่าต้องมาควบคุมความอ้วนที่เกิดจากความหวานของเครื่องดื่มอีกด้วยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หวานซ่าดับร้อน ชวนก่อโรค

ในสถานการณ์ความร้อนระอุของประเทศไทยที่พุ่งสูงช่วงนี้ หลายคนมองหาวิธีดับร้อนและหนึ่งวิธีที่เลือกใช้ก็คือ น้ำอัดลม หรือน้ำหวานชนิดต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้ถ้าดื่มประจำจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยน้ำตาลเป็นอาหารที่ให้แต่พลังงานว่างเปล่า คือให้พลังงานแต่ไม่ให้สารอาหารอื่นๆ เลย

หวานซ่าดับร้อน ชวนก่อโรค thaihealth

ทำไมหน้าร้อนเราจึงหิวน้ำบ่อย
เพราะ น้ำ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย เป็นส่วนประกอบของเลือด น้ำย่อย ปกติร่างกายเราจะสูญเสียน้ำประมาณ 10 ถ้วย หรือ2.5 ลิตรทางเหงื่อ ลมหายใจและการขับถ่าย นอกจากน้ำแล้วร่างกายยังเสียเกลือแร่อีกด้วย โดยในฤดูร้อนการสูญเสียน้ำทางเหงื่อจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ทำให้ร่างกายต้องการน้ำเพื่อทดแทนสิ่งที่เสียไปมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเครื่องดื่มที่ดีและเหมาะสมกับร่างกาย คือ น้ำเปล่า เพราะในน้ำเปล่า มีส่วนช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ช่วยให้ระบบย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไตแข็งแรง โดย 1 วันควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
หวานซ่าดับร้อน ชวนก่อโรค thaihealth
มีการสำรวจพบว่า คนไทยรับประทานน้ำตาลสูงมากเฉลี่ยถึงปีละ 30 กิโลกรัมต่อคน หรือวันละ 20 ช้อนชา ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกแนะนำกว่า 3 เท่าตัว ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น ในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไปพบถึง 1 ใน 10 หรือ 5.5 ล้านคน ทำให้ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลนั้น อยู่ที่การบริโภคไม่เกิน 37.5 กรัมต่อวันหรือ 9 ช้อนชาในเพศชาย และไม่เกิน25 กรัม หรือ 6 ช้อนชาในเพศหญิง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานในแต่ละวันด้วย ขณะที่คนไทยมี ค่าเฉลี่ยมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 20 ช้อนชาต่อวัน หรือเกือบ 80-100 กรัม
รู้จักกับ 4 เรื่องที่น่ากลัวของเครื่องดื่มหวานซ่า
1.น้ำหวานที่นำมาอัดลม หรือน้ำหวานทั่วไปในท้องตลาด มีส่วนผสมของสีและรสชาติเทียมที่มาจากสารเคมี เมื่อบริโภคต่อเนื่องจะสามารถทำให้ก่อพิษในร่างกายได้
2.คาเฟอีนในน้ำอัดลม เป็นสารกระตุ้นประสาททำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัว และลดความง่วงลง โดยออกฤทธิ์กับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้จังหวะและอัตราการเต้นของหัวอาจผิดปกติได้
หวานซ่าดับร้อน ชวนก่อโรค thaihealth
3.น้ำอัดลมทุกสูตรล้วนแต่ผสมน้ำตาลในปริมาณสูงตั้งแต่ 8-14 ช้อนชา การบริโภคน้ำอัดลมเพียงวันละ 1 กระป๋องจึงทำให้ร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลเกินปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ
4.น้ำอัดลม มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริก เป็นกรดที่ทำให้เกิดความซ่าอีกชนิดนึง ไม่น่าเชื่อว่ากรดนี้เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในผงซักฟอก รวมทั้งใช้ในอุตสาหกรรมโลหะด้วย ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมาก มากขนาดที่สามารถละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน เท่านั้นยังไม่พอยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกและฟัน เพราะฉะนั้นกินเยอะๆ กระดูกของเราพรุนแน่ๆ
ล่าสุดประเทศไทยได้มีการนำเสนอให้จัดเก็บภาษีในเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินมาตรฐานที่กำหนด โดยเสนอให้จัดเก็บภาษี 2 อัตรา ตามความเข้มข้นของน้ำตาลคือ ปริมาณน้ำตาลมากกว่า 6-10 กรัม ถึง 100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 20% ของราคาขายปลีก และปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 กรัม ถึง 100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 25% ของราคาขายปลีก แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการขึ้นภาษี คงมองได้หลายแง่ ในด้านหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนลดการบริโภคเครื่องดื่มรสหวานลง ก็อาจจะเป็นส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ นอกจากเรื่องของการขึ้นภาษี ก็ยังมีการเสนอให้กระทรวงมหาดไทยควบคุมการทำการตลาดแบบเสี่ยงโชคของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เพื่อควบคุมการกระตุ้นการบริโภคควบคู่ไปด้วย
ประเทศอังกฤษ ็หนึ่งในตัวอย่างการดำเนินงานเรื่องภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม
หวานซ่าดับร้อน ชวนก่อโรค thaihealthอังกฤษได้ดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อควบคุมความอ้วนของเด็ก ด้วยการเก็บภาษีบริษัทที่ขายน้ำหวานอัดลมและลงทุนในโครงการที่ส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกาย รวมถึงเรียกร้องบริษัทผู้ผลิตอาหาร และเครื่องดื่มให้รีบดำเนินการลดน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ เนื่องจากเด็กอายุระหว่าง 2 - 15 ปีในอังกฤษ เกือบ 1 ใน 3  เป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน
โดยแผนการของอังกฤษจะจัดเก็บภาษีต่อเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเกิน 5 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งการจัดเก็บภาษีน้ำอัดลมทำให้อังกฤษได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่เก็บภาษีน้ำอัดลมร่วมกับ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส  ฮังการี และเม็กซิโก ที่กำหนดการเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่มีการเก็บภาษีน้ำอัดลมมาเป็นเวลาหลายปี
ที่มาลิงค์

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

น้ำมะละกอสุก : ลดกรดในกระเพาะอาหาร

ที่มา : มูลนิธิหมอชาวบ้าน
น้ำมะละกอสุก : ลดกรดในกระเพาะอาหาร thaihealth
แฟ้มภาพ
มะละกอ นอกจากกินเป็นผลไม้ได้อร่อยแล้ว ผลสุกยังนำไปทำเป็นน้ำมะละกอเพื่อสุขภาพได้อีกด้วย น้ำมะละกอสุก ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยการทำงานของลำไส้ ทำความสะอาดไต ช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงอายุ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ กระตุ้นระบบขับถ่าย ทั้งนี้เมืองไทยของเราปลูกมะละกอได้ผลตลอดปี เรามาทำน้ำมะละกอสดดื่มกันเองดีกว่า
วิธีทำ เลือกมะละกอที่สุกกำลังดี เนื้อไม่แข็ง หรือเละจนเกินไป เนื้อเนียน รสหวาน นำมะละกอสุกหั่นเอาแต่เนื้อครึ่งถ้วย น้ำเย็นจัด 1 ถ้วย ผงอบเชย 1/8 ช้อนชา เกลือป่น 1/4 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนชา ปั่นมะละกอกับน้ำเย็นจัด เกลือ น้ำมะนาวเข้าด้วยกัน รินใส่แก้ว โรยด้วยผงอบเชย ดื่มเย็นๆ ทันที