วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ฮ่องกงหนุนออกกำลังกายในที่ทำงาน

บริษัท อีตัน (eaton corporation) เป็นบริษัทข้ามชาติที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการพลังงาน ได้ริเริ่มแพ็คเกจการประกันสุขภาพ 2 อย่างแจกให้กับพนักงานตั้งแต่ปลายปี 2555
แบบแรกคือ แพ็คเกจสุขภาพมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ฮ่องกลง (ราว 40,360 บาท) ต่อปี โดยที่อีกแบบมีมูลค่า 5,000 ดอลลาร์ บวกกับอีก 5,000 ดอลลาร์ในแบบเครดิต เพื่อเข้าเป็นสมาชิกของยิมหรือใช้ในการท่องเที่ยว เพราะเห็นว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อสนับสนุนลูกจ้างและพนักงานกว่า 100 ชีวิต มีไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ
โดย eric kung ping-yin ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ human dynamic ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านสุขภาพนานาชาติ กล่าวว่า บริษัทท้องถิ่นหลายแห่งกำลังใช้วิธีการทำงานเชิงรุก เพื่อส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน และเห็นว่า “บริษัทต่างๆ ควรจะลงทุนในโครงการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานดูแลสุขภาพ แทนที่จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่เกิดจากภาวะสุขภาพย่ำแย่ของพนักงานในอนาคต”
โครงการ ‘รู้ดัชนีมวลกายของคุณ’ (know your numbers) โด่งดังไปทั่วในภาคเอกชน ตัวเลขดังกล่าวหมายถึงสถานะสุขภาพของพนักงาน แทนที่จะเป็นตัวเลขยอดขาย บริษัทต่างๆ กำลังสนับสนุนให้พนักงานของตนเข้าสู่การทดสอบร่างกายพื้นฐาน เพื่อให้มีการจัดเก็บประวัติสุขภาพของกำลังคน การประเมินผลความเสี่ยงด้านสุขภาพถูกสร้างขึ้นมา เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับไลฟ์ไตล์ของพนักงาน เช่น สูบบุหรี่วันละกี่มวน พฤติกรรมการกินอาหาร และที่มาของความเครียด
ตัวอย่างโครงการที่จูงใจให้พนักงานเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อสุขภาพ เช่น เมื่อปีที่แล้วมีการเปิดตัวการแข่งขันลดน้ำหนักระหว่างแผนก มีจำนวนพนักงานราว 180 เข้าร่วมโครงการ และลดขนาดรอบเอว นอกจากนี้ ยังมีการจับรางวัลประจำเดือน เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ยิ่งเดินและใช้บันไดมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสในการจับรางวัลมากเท่านั้น
อีกแนวทางหนึ่งคือการใช้แรงจูงใจด้านลบ เช่น ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่อย่างมิชลิน ออกกฎว่าพนักงานต้องจ่ายเงินราว 7, 888 ดอลลาร์ฮ่องกงเพิ่มเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมประกันชีวิต หากมีรอบเอวมากกว่า 101.6 เซนติเมตร สำหรับผู้ชาย และ 88.6 เซนติเมตร สำหรับผู้หญิง ตัวอย่างอื่นๆ เช่น  ห้างสรรพสินค้า macy ปรับพนักงานที่สูบบุหรี่เป็นเงิน 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หากพวกเขาปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโครงการเลิกสูบบุหรี่
ทางด้าน aon hewitt ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ว่าจ้างทั้งขนาดกลางและใหญ่ในสหรัฐอเมริกา พบว่า ร้อยละ 79 ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจ มีการสร้างแรงจูงใจในรูปแบบเงินสด เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเข้าร่วมการตรวจสุขภาพหรือโปรแกรมฟิตเนส ร้อยละ 58 มีแผนที่จะปรับเงินพนักงานที่มีไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และร้อยละ 5 ได้มีการนำเอามาตรการลงโทษนี้มาใช้แล้ว
องค์กรสาธารณกุศลในฮ่องกงอย่าง lok sin tong ได้เปิดตัวโปรแกรมเลิกสูบบุหรี่ที่เข้าถึงประชาชน ด้วยเงินทุนราว 4.5 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง จากการสนับสนุนของสำนักงานควบคุมยาสูบ โดยทำการส่งเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาไปยังบริษัทต่างๆ เพื่อจัดให้ความช่วยเหลือในเรื่อง การสรรสร้างนโยบายต่างๆ เพื่อ สนับสนุนให้พนักงานลูกจ้างหยุดสูบบุหรี่ จนถึงปัจจุบันมีบริษัทท้องถิ่น 65 แห่งที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้
บางบริษัท เสนอรางวัลในรูปของเงินสด หรือเวลาพักร้อนที่ไม่ต้องโดนหักเงิน เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ได้  ส่วนบริษัทอื่น ๆ มีโปรแกรมเพื่อนช่วยเพื่อน (buddy programme) ที่จับคู่คนสูบบุหรี่กับคนไม่สูบบุหรี่ เข้าร่วมการรับคำปรึกษาพร้อมกันกับเพื่อนที่สูบบุหรี่ด้วย ครึ่งหนึ่งของบริษัทที่เข้าร่วมมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ งานขาย และ งานทำความสะอาด ซึ่งมีแนวโน้มที่มีพนักงานหลาย ๆ คนต้องทำงานกับสาธารณะ
ทั้งนี้ โฆษกของ lok sin tong กล่าวว่า “จากการทำโปรแกรมนี้ ปรากฏว่าบรรดาผู้ว่าจ้างสามารถมีอิทธิพลต่อพนักงานลูกจ้างมากกกว่าครอบครัวของพวกเขาเสียอีก เพราะว่าพนักงานลูกจ้างใส่ใจในสิ่งที่นายจ้างคิดเกี่ยวกับพวกเขา”

ที่มา : http://www.scmp.com/lifestyle/health/article/1321402/action-stations-office-fitness-initiatives-take-root-hong-kong

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทำอย่างไรเมื่อหูดับ

ทำอย่างไรเมื่อหูดับ thaihealth
หลายคนคงเคยได้ยินและรู้จักโรคหูดับกันมาบ้างแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าโรคนี้เกิดจากอะไร มีวิธีป้องกันและรักษาอย่างไร มีรายละเอียดค่ะ
โรคหูดับฉับพลัน หมายถึง การได้ยินลดลงในทันที ซึ่งผู้ป่วยสามารถสังเกตได้ถึงความผิดปกตินั้น  อาจเพียงเล็กน้อยหรือรุนแรงก็ได้  สาเหตุที่พบบ่อยคือ ขี้หูอุดตันหรือหูชั้นกลางอักเสบ และที่ไม่ทราบสาเหตุ ถือเป็นภาวะเร่งด่วนทางหู หากมาพบแพทย์ภายใน 2 สัปดาห์หลังมีอาการ โอกาสที่หายจากโรคจะมีมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ชนิดไม่ทราบสาเหตุอาจมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส เช่น มีอาการหวัดนำมาก่อน  การขาดเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในแบบเฉียบพลัน และมักพบผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ปกติ หรืออาจเป็นที่การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศอย่างรวดเร็ว เช่น ดำน้ำ รวมถึงการสัมผัสเสียงดังอย่างฉับพลัน
ฉะนั้นการหาสาเหตุจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจการได้ยิน และตรวจคลื่นสมองดูทางเดินเส้นประสาท เพื่อวินิจฉัยหาโรคที่มีผลต่อระบบหลอดเลือด เช่น เบาหวาน ไขมันสูง โรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง หรือเนื้องอกของเส้นประสาทหู แม้จะพบน้อยกว่า 1% ก็ตาม
การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่พบ สำหรับหูดับฉับพลันแบบไม่ทราบสาเหตุ แพทย์จะให้ยาต้านการอักเสบของประสาทหู ทั้งนี้ จะหายหรือไม่นั้น ยังขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของประสาทหูเสื่อม และโรคประจำตัวของผู้ป่วยด้วย ดังนั้น แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยนอนพักในช่วงแรก และไม่ออกกำลังกายหักโหม
แต่ในรายที่ไม่สามารถฟื้นการได้ยินกลับมาเท่าหูข้างปกติ แพทย์จะให้ใส่เครื่องช่วยฟังเพื่อให้ได้ยินดีขึ้น  รวมถึงการควบคุมโรคประจำตัวให้อยู่ในระดับปกติ เช่น เบาหวาน หรือความดัน ก็จะช่วยป้องกันให้อาการคงที่ได้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น ได้แก่ หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการใช้เสียงดังมาก หรือการใช้หูฟัง หากเป็นโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต ควรควบคุมโรคให้อยู่ในระดับปกติ และไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากยาบางชนิดมีพิษต่อประสาทหู รวมทั้งควรหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โอกาสที่จะเป็นก็น้อยลง


ที่มา : ASTVผู้จัดการรายวัน โดย ผศ.พญ.ศิริพร ลิมป์วิริยะกุล ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ระวังผลข้างเคียงจากเครื่องสำอาง

โดย 
แพทย์ผิวหนังแนะควรอ่านฉลากเครื่องสำอางให้ละเอียดก่อนนำมาใช้ เลี่ยงผลข้างเคียงต่อร่างกาย
แพทย์ผิวหนังเตือนระวังผลข้างเคียงจากเครื่องสำอาง thaihealth
ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคผิวหนัง เกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงจากการใช้ยา เพื่อแต่งเสริมเติมแต่งความงามของร่างกาย ทำให้เกิดอันตรายในหลายลักษณะด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น ครีมหน้าขาวที่มีส่วนผสมจากไฮโดรควิโนน (Hydroquinone), ผลข้างเคียงจากการใช้สเตียรอยด์, การใช้ผลิตภัณฑ์ Whitening ที่ทำให้ผิวขาว, เครื่องสำอางปลอม และการเลือกซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ด้านความงามจากการการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต เหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะครีมทาผิวบางชนิด ที่ใช้ได้เฉพาะที่ เช่น ทาบริเวณผิวหน้าเท่านั้น ห้ามนำมาทาตัว หรือทาบริเวณทั่วร่างกายห้ามทาบริเวณใบหน้า
ดังนั้นการซื้อครีมทาผิว ต้องอ่านฉลากให้ละเอียดเสียก่อนนำมาใช้ ทั้งในส่วนที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป, ตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือการโปรโมทขายสินค้าตามรายการโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีบางช่อง สื่อเหล่านี้ให้ระวัง เพราะมักจะมีการโฆษณาเกินจริง บางครั้งครีมทาผิวดังกล่าวอาจจะเป็นของเลียนแบบ, ของปลอม หรือมีส่วนผสมของสารโคเบตาซอล ซึ่งเป็นสเตียรอยด์ชนิดที่แรงที่สุด เอาไว้รักษาโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นเรื้อรัง หรือเป็นผื่นหนา และมีคำเตือนว่าห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 4 สัปดาห์ สารนี้จัดเป็นยาและไม่สามารถอยู่ในเครื่องสำอางได้ สารชนิดนี้ออกฤทธิ์ที่ผิวหนังถึงชั้นหนังแท้และอาจเป็นแผลถาวร
ซึ่งผลของมันนอกจากไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว, ไปรบกวนเรื่องของการสร้างอิลาสติน และคอลลาเจนของผิวหนังแล้ว ยังทำให้เกิดการแตกลายงาของผิวหนัง ทำให้ผิวบางและเส้นเลือดขยาย หากไปทาที่ใบหน้าหรือบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะจะทำให้เกิดสิวซึ่งรักษายากกว่าสิวทั่วไป และเมื่อผิวบางโดนอะไรจะแพ้ง่าย และมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย
ในประเทศไทยปัญหาการใช้ครีมหรือขี้ผึ้งสเตียรอยด์พบได้ค่อนข้างบ่อย เพราะยาในกลุ่มนี้ประชาชนสามารถซื้อหาได้เองโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ และมีราคาถูก 10 กรัมราคาเพียง 50 บาท มีเป็นร้อยยี่ห้อ ส่วนมากประชาชนมักจะคิดว่า ครีมทาผิวภายนอกไม่ค่อยมีอันตราย ในขณะที่ประเทศเจริญแล้ว เช่น อเมริกา, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ ครีมในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ประชาชนไม่สามารถซื้อใช้เอง ต้องมีใบสั่งแพทย์ ร้านขายยาจึงจะขายให้ เพราะผิดกฎหมาย ครีมสเตียรอยด์มีประโยชน์ คือ แก้แพ้ แก้คัน แก้ผื่นผิวหนังอักเสบ บางคนพอใช้แล้วหน้าเรียบ ก็เลยใช้ต่อเนื่อง ถ้าใช้ช่วงสั้น ๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้นานๆ จะติด ไม่ ใช้ไม่ได้ และเพิ่มความแรงของยาขึ้นเรื่อย ๆ ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาหยุดไม่ได้ พอหยุดผิวหนังจะอักเสบเห่อขึ้นมา
โดยผลข้างเคียงจากการใช้ครีมสเตียรอยด์ แบ่งได้ดังนี้
1. ประเภทเฉียบพลัน ได้แก่ 1.1.การเกิดสิว ครีมกลุ่มนี้ทำให้เกิดสิว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า และหน้าอก โดยสิวที่เกิดจากสเตียรอยด์ จะแตกต่างจากสิวทั่วไป จะเห็นเป็นสิวในแบบเดียวกันทั้งหมด คือเป็นตุ่มนูนแดง (ไม่มีหัวหนองหรือไขมันอุดตัน) 1.2 รอยโรคเดิมเป็นมากขึ้น พวกนี้ส่วนมากเกิดจากการใช้ยาผิดโรค เช่น เป็นโรคกลากเกลื้อนแล้วใช้ครีมสเตียรอยด์ทาจะทำให้เป็นมากขึ้น 1.3 เกิดผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งอาจเกิดการแพ้สารกันบูดหรือน้ำหอมที่ใส่ในครีมสเตียรอยด์ได้ ส่วนการแพ้ตัวสเตียรอยด์เองนั้นก็พบได้แต่พบได้น้อย
2. ประเภทเรื้อรัง ได้แก่ ทำให้ผิวหน้าบางลง ออกแดดไม่ได้ เวลาเจอแดดก็จะแสบร้อน หลอดเลือดใต้ผิวหนังเปราะแตกง่าย ขนยาวขึ้นบริเวณทายา เกิดสิวและผื่นอักเสบรอบปาก เกิดภาวะติดยา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเมืองไทยและรักษายาก ภาวะนี้เกิดจาการใช้ครีมสเตียรอยด์เป็นเวลานาน เวลาหยุดยาแล้วจะแดง หรือโรคผิวหนังอักเสบเดิมจะเป็นมากขึ้น ทำให้หยุดใช้ยาไม่ได้และต้องใช้ครีมสเตียรอยด์แรงมากขึ้น นอกจากนี้อาจไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ซึ่งมักเกิดจากการใช้ครีมสเตียรอยด์ชนิดแรงเป็นเวลานานโดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ


ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

7 เทคนิคลดเครียด หลับสบาย

โดย 
7 เทคนิคลดเครียด หลับสบาย thaihealth
ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อร่างกาย อารมณ์ รวมถึงพฤติกรรมต่างๆด้วย ความเครียดในระดับที่เหมาะสมเป็นแรงขับที่ดีที่ช่วยทำให้เกิดการตื่นตัวและกระฉับกระเฉง แต่การที่มีความเครียดมากเกินไป ทำให้เกิดความวิตกกังวล ความกระวนกระวายใจ และสามารถส่งผลให้นอนไม่หลับได้
สัญญาณเตือนว่าเรามีความเครียด
สัญญาณของความเครียดคือ มีความวิตกกังวล นอนไม่หลับ กระวนกระวายใจ คิดซ้ำไปซ้ำมา สมาธิลดลง ระแวงคนรอบข้าง ทานอาหารได้น้อยลงหรือมากเกินไป ทำงานผิดพลาด ชีวิตล้มเหลว หากเกิดความเครียดมากๆอาจทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ หรืออาจเกิดการฆ่าตัวตายได้
วิธีจัดการกับความเครียดและทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น มีดังนี้
7 เทคนิคลดเครียด หลับสบาย thaihealth
1. ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด วิธีแรกในการจัดการกับความเครียดคือการค้นหาสาเหตุของปัญหา ตรวจสอบสภาพทางด้านร่างกาย และกิจวัตรประจำวันที่ทำ ว่าเป็นความเครียดที่เกิดจากความเจ็บป่วยหรือไม่ หรือมีงานมากเกินไปหรือไม่ เมื่อเราค้นพบสาเหตุของความเครียดแล้ว เราก็จะสามารถค่อยๆหาวิธีลดความเครียดนั้นๆลงได้
2. เข้าร่วมสังคมใช้เวลากับครอบครัว เพื่อน การกับกิจกรรมร่วมกับสังคมจะช่วยลดปัญหาความเครียดได้ และการเล่าปัญหาความเครียดให้คนที่เรารักฟังจะช่วยบรรเทาสิ่งที่เรากังวลได้
3. จัดระเบียบความคิด อะไรคือสิ่งที่เราคิด และเราคิดอย่างไรกับปัญหานั้น เรามีความคาดหวังอะไร สิ่งที่เราบอกตัวเราเองจะช่วยให้เราตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ที่จะเพิ่มระดับความเครียดหรือลดความเครียดลง เราสามารถจัดระเบียบความคิดได้ การเฝ้าระวังถึงสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น และการจัดการกับสถานการณ์นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ฉันทำงานนี้พัง เพราะฉันส่งงานไม่ทันการ
4. ออกกำลังการออกกำลังกาย ช่วยทำให้ความเครียดหายไปหรือลดลงได้ การใช้เทคนิคผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และเกร็งกล้ามเนื้อต่อผลต่อความเครียดได้ การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ 2ชั่วโมงก่อนนอน เพื่ออุณหภูมิของร่างกายจะเข้าสู่สภาพปกติ แต่ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุ อายุ 50 ปีขึ้นไป ที่ทานยาประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
7 เทคนิคลดเครียด หลับสบาย thaihealth
5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ควรทานอาหารขยะที่มีน้ำตาลมากหรือมีคุณค่าทางอาหารต่ำ เพราะจะส่งผลต่อพละกำลังและสภาพจิตใจ ดังนั้นควรระวังเรื่องอาหาร รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีน้ำตาลต่ำ ระวังเรื่องคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นกัน
6. นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ลดความเครียดที่เกิดขึ้นในระหว่างวันได้ หากเราเหนื่อยร่างกายไม่สามารถทนต่อปัญหาหรือสิ่งที่มารบกวนเล็กๆน้อยๆได้ ปกติผู้ใหญ่ต้องการการนอน อย่างน้อย 7-9 ชั่วโมง ฝึกการนอนให้เป็นเวลา ฝึกการกำหนดลมหายใจ และเทคนิคการผ่อนคลายจะช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
7. หาคนช่วยงาน การมีภาระรับผิดชอบมากเกินไป ทำให้เกิดความเครียด หาผู้ช่วยเพื่อลดความเครียด และลดความรับผิดชอบลง


ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์ โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิตามินดี สิ่งดีๆ ที่ถูกมองข้าม

โดย 
| |
อ่าน : 555
วิตามินดี สิ่งดีๆ ที่ถูกมองข้าม thaihealth
ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นตอนเช้ามองเห็นแสงทองที่ส่องผ่านม่านหน้าต่าง เรารู้สึกได้ถึงความอบอุ่น แต่ไม่กี่นาทีหลังเราก็ละเลยไปกับกิจวัตรยามเช้าก่อนเดินทางไปทำงาน โดยลืมไปว่าแสงแดดยามเช้านั้นช่วยให้ร่างกายของเราสร้างวิตามินดี ซึ่งทำให้เราแข็งแรงอย่างง่ายที่สุดตามธรรมชาติ
โดยเฉพาะเรื่องของระบบประสาทการควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูก ดังนั้นคุณหนุ่มๆ รวมถึงเก้งกวางที่ชอบออกกำลังกาย เล่นกล้ามเป็นประจำจะมองข้ามเรื่องวิตามินดีไปไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกอ่อนแรง ไม่คล่องแคล่วว่องไวอย่างที่ควรเป็น เมื่อนั้นเราคงต้องหันกลับมามองว่าเราได้รับวิตามินดีเพียงพอหรือยัง
เกือบทุกคนอาจจะคิดว่าในภูมิประเทศใกล้แถบเส้นศูนย์สูตรอย่างเมืองไทยของเรา ทุกคนล้วนได้รับแสงแดดตลอดทั้งวันจึงไม่น่ามีปัญหา แต่ความจริงก็คือแม้เราจะอยู่ในเมืองร้อนที่มีแดดตลอดทั้งปี ก็มีน้อยคนมากที่จะได้รับวิตามินดีมากพอสำหรับความต้องการของร่างกายต่อวัน เพราะร่างกายเราจะสังเคราะห์วิตามินดีได้นั้นจำเป็นต้องใช้รังสียูวีไม่ใช่แสงสว่าง
การรับรังสียูวีมีข้อจำกัดอยู่มาก เพราะรังสีไม่สามารถทะลุผ่านกระจกหนา, ม่าน, ฟิล์มกรองแสง, เสื้อผ้า, ครีมกันแดด และผิวหนังที่มีสีเข้มหรือเมลานินใต้ผิวหนังได้ จึงเป็นเหตุผลว่าแม้เราจะอยู่ในออฟฟิศหรือในร่มที่มีแสงสว่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รับรังสียูวีเพียงพอต่อการสร้างวิตามินดีใต้ชั้นผิวหนัง
มีงานวิจัยจาก ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ โคโลราโด ระบุว่า มีประชากรอย่างน้อย 25% ที่มีปริมาณวิตามินดีในกระแสเลือดไม่เพียงพอต่อวัน ซึ่งการรับวิตามินดีจากแสงแดดและอาหารมีความจำเป็นต่อร่างกายมาก เพราะคุณสมบัติของวิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมกับฟอสฟอรัสมาสร้างกระดูกและฟัน


ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เพิ่มทักษะชีวิต ป้องกันลูกรักทำสิ่งผิด

ในทางจิตวิทยามีความเป็นไปได้ว่าการเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานานของเด็กและเยาวชนอาจก่อให้เกิดการเสพติด และมีพฤติกรรมรุนแรงเกิดขึ้นได้
เพิ่มทักษะชีวิต ป้องกันลูกรักทำสิ่งผิด thaihealth
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุขอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การมีพฤติกรรมเลียนแบบ อาจเป็นเพราะเด็กแยกไม่ออกระหว่างโลกของความเป็นจริงกับเกม อาจเนื่องจากวุฒิภาวะไม่สมวัยพอ พ่อแม่ที่ปล่อยให้ลูกเล่นเกมโดยไม่มีกติกา การกำกับชนิดเกมและเวลาให้ดี จึงควรจะตระหนักและระมัดระวัง เพราะการเล่นเกมมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้หมกมุ่น ขาดทักษะชีวิตและการเข้าสังคมในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น การเพิ่มทักษะชีวิตให้กับเด็กจึงมีความสำคัญยิ่ง
นอกจากนี้ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากเกมจะมีส่วนโน้มน้าวจูงใจแล้ว ปัจจัยเรื่องสิ่งแวดล้อมครอบครัวก็มีส่วนด้วย พ่อ แม่ ผู้ปกครอง จึงควรให้เวลาใส่ใจดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ต้องสอนลูกให้รู้จักแบ่งเวลาและรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง จำกัดเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตหรือเล่นเกม และไม่ควรปล่อยให้เล่นเพียงลำพัง หรือปล่อยให้เด็กเล่นเกมที่มีความรุนแรง และควรสร้างบรรยากาศให้เด็กหรือเยาวชนหันไปสนใจอย่างอื่นแทนการเล่นเกม
ด้าน พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "การเสพติดเทคโนโลยี ในทางการแพทย์ พบว่า สมองของเราจะเจริญเติบโตได้ไม่พร้อมกัน คือ สมองหยาบหรือที่เรียกว่าสมองส่วนการรับรู้และประสาทสัมผัส จะเจริญเติบโตและพัฒนาก่อน ส่วนสมองละเอียดที่ใช้ยั้งคิด และควบคุมความรู้สึก พฤติกรรมจะเติบโตสมบูรณ์เต็มที่เมื่ออายุประมาณ 20 ปี ดังนั้น เด็กๆ ในวัยต่ำกว่า 20 ปี จึงมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ง่าย มีความอดทนอดกลั้น ความยั้งคิด และยับยั้งชั่งใจน้อยกว่า เมื่อมีสิ่งยั่วยุที่ทำให้มีความสนุกสนาน สมองทางด้านการควบคุมหรือวุฒิภาวะ เลยไม่สามารถเอาชนะได้ ทำให้เด็กมีโอกาสติดคอมพิวเตอร์ ติดเกม ติดคุยโทรศัพท์ ติดสื่อลามกได้ง่ายกว่า หากปล่อยให้ลูกอยู่กับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป เช่น มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะนำไปสู่การเสพติดในที่สุด
การเล่นเกมที่มีเนื้อหาความรุนแรง จะสร้างการเรียนรู้ผิดๆ จากการที่ได้ดูบ่อยๆ จะค่อยๆ ซึมซับเป็นแบบอย่างเกิดความชินชา ยอมรับและเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา และกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบในที่สุด นอกจากนี้ ผลกระทบจากการเล่นเกมมากๆ ทำให้สมาธิสั้น มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างน้อยลง มีปัญหาการเข้าสังคมในโลกความจริง การดูแลใกล้ชิดของพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง จึงมีความสำคัญที่สุด" ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าว


ที่มา: หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 มี.ค. 2558
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ตลิ้งค์

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

“ผื่น” ฮิตที่พบบ่อยในฤดูฝน

ใช่ว่าเรื่องผิวหนังจะดูแลกันแค่ “ฤดูร้อน” หรือ “ฤดูหนาว” หากแต่ "ฤดูฝน" ก็เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหนังไม่แพ้กัน
/data/content/24670/cms/e_adfikmpsw348.jpg
          สำหรับผู้ที่มีสุขภาพผิวดี คงสงสัยว่าทำไมถึงต้องระวังสุขภาพของผิวหนังใน “ฤดูฝน” กันด้วย ในเมื่ออากาศไม่ร้อน แดดไม่แรง เหงื่อไม่ออก อีกทั้งอากาศก็ไม่ได้หนาวจนผิวแห้ง ก่อให้เกิดอาการคันยิบๆ ที่ผิวหนัง พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนฤดูเข้าสู่หน้าฝน สิ่งที่ควรระวังมีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ก็คือ (1) ปัจจัยความอับชื้นที่มาพร้อมกับสายฝน ซึ่งอาจก่อให้เป็นผื่นผิวหนังได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นโรคน้ำกัดเท้า ผื่นผิวหนังที่เกิดจากความอับชื้น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ฉะนั้นหากเปียกฝนมา จึงควรรีบทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ หรือเช็ดตัวทุกสัดส่วนให้แห้ง ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะความอับชื้นเป็นปัจจัยให้ผิวไวต่อเชื้อแบคทีเรีย และแพ้ง่ายขึ้น (2) ผื่นผิวหนังที่เกิดจากการถูกแมลงกัด โดยเฉพาะ “แมลงก้นกระดก” หรือ “ด้วงก้นกระดก” ตามที่เป็นข่าวอยู่ในสังคมออนไลน์ว่ามีพิษร้าย หากผู้ใดสัมผัสโดนตัวแมลงอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นั้น “ไม่เป็นความจริง” เลย
/data/content/24670/cms/e_bgjmnotux458.jpg          ผื่นผิวธรรมดา VS ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
          คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า ทั้ง 2 โรค ลักษณะอาการคล้ายกัน เพียงแต่ผื่นภูมิแพ้ คือ ผื่นที่ระบุสาเหตุการแพ้ ซึ่งเกิดจากภูมิ โดยลักษณะของผื่นจะเกิดเฉพาะบริเวณที่โดนสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ อย่าง น้ำหอม เกิดผื่นบริเวณที่ฉีด, นิกเกิล หรือ พลาสติก เกิดผื่นบริเวณที่จับ ทั้ง 2 อย่างรักษาตามอาการของการเกิดผื่น ซึ่งหากเป็นมาก ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
          ผื่นจาก “ด้วงก้นกระดก” ตัวจิ๋ว
          “ด้วงก้นกระดกมีหลายชื่อเรียก” พญ.มิ่งขวัญบอก ก่อนให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แมลงก้นกระดกคือด้ วงปีกสั้นที่มีหลายชื่อเรียก เช่น ด้วงก้นงอน ด้วงกรด หรือ แมลงเฟรชชี่ เนื่องจากพบบ่อยในกลุ่มนักศึกษาที่อยู่หอปีแรก ลักษณะของด้วงก้นกระดก ตัวเต็มวัยจะยาวประมาณ 5-7 มิลลิเมตร หัวสีดำ ส่วนท้องมี 6 ปล้อง 4 ปล้องแรกสีส้มอมน้ำตาล ที่เหลือสีดำ เป็นแมลงที่มีอายุอยู่ได้ยาวนาน ว่องไว บินได้เร็ว พบบ่อยในช่วงฤดูฝน
/data/content/24670/cms/e_ehilnov15678.jpg          “ด้วงก้นกระดกจะมีสารพิษที่ชื่อว่า พีเดอริน ซึ่งเป็นกรดอ่อน ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อได้ ตัวเมียมีสารพิษมากกว่าตัวผู้ เมื่อสัมผัสโดนด้วงตัวผู้ แล้วไม่ค่อยมีอาการแพ้ จึงเป็นเหตุให้เข้าใจผิดได้ว่าแมลงชนิดนี้ไม่มีอันตรายมาก”
          ทั้งนี้จากจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันผิวหนัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 คือวัยรุ่นและวัยทำงาน (15-59 ปี) อาชีพที่พบมาก คือ นักเรียน นักศึกษา และแม่บ้าน ร้อยละ 35
          อาการของผู้ที่สัมผัส
          มักเกิดจากการที่แมลงมาเกาะแล้วเผลอปัด หรือบี้แมลงจนท้องมันแตก แล้วได้สารพิษนั้น ส่วนอาการจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการได้รับพิษ โดยอาการจะไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่จะมีอาการหลังจากสัมผัสแล้วประมาณ 8-12 ชั่วโมง
          “ลักษณะของผื่นจะป็นผื่นแดง เป็นรอยไหม้ทางยาว ทิศทางตามรอยที่แมลงถูกมือปัดออกไป ในระยะต่อมาจะมีตุ่มน้ำพองใส และตุ่มหนองขนาดเล็กเกิดขึ้นตามมาภายใน 2-3 วัน ไม่คันมาก แต่จะมีอาการแสบร้อน ซึ่งหากสารพีเดอรินกระจายถูกบริเวณดวงตา ก็จะเกิดอาการบวมแดง และอาจทำให้ตาบอดได้” ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนังอธิบาย
/data/content/24670/cms/e_cefhinqryz34.jpg           ข่าวลวง อันตรายถึงตาย
           อาการอักเสบ จะหายภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยอาจจะมีรอยดำหลังการอักเสบได้ในระยะสั้นๆ โดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงถึงขนาดทำให้เสียชีวิตได้ ตามที่มีการแบ่งปันข้อมูลบนโลกออนไลน์ เพราะพิษของด้วงก้นกระดกไม่ส่งผลต่อระบบอื่น นอกจากตาและผิวหนัง เว้นแต่เป็นผู้ที่ได้รับพิษเป็นจำนวนมาก หรือมีอาการแพ้รุนแรง ก็จะมีไข้สูง และอาการทางระบบหายใจได้
           การรักษาและป้องกัน
           เมื่อรู้ตัวว่าได้สัมผัสกับแมลงก้นกระดก ขอให้ล้างผิวหนังบริเวณนั้นกับน้ำสะอาด ฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย ไม่ควรแกะเกา เพราะอาจทำให้มีติดเชื้อแทรกซ้อนได้
          “ถ้าอาอาการไม่ดีขึ้น ขอให้ไปพบแพทย์ ทางคุณหมอจะให้สเตียรอยด์อย่างอ่อนทาบริเวณแผล และใช้วิธีประคบเปียกประมาณ 5-10 นาที ซึ่งหากมีผื่นหนองหรือตุ่มน้ำพองใสขึ้นด้วย ควรประคบอย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง ในรายที่คันมาก อาจให้ยาแก้คัน รวมกับยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อแทรกซ้อน ส่วนการป้องกันที่สามารถทำได้คือการปัดที่นอนทุกครั้งก่อนนอน ปิดประตู หน้าต่างมิดชิด เปิดไฟเฉพาะที่จำเป็นเพื่อไม่ให้แมลงชนิดนี้มาเล่นกับไฟนีออน หากแมลงมาเกาะ ไม่ควรตบหรือตี แต่ควรเป่าให้แมลงออกไป หรืออาจจะใช้เทปกาวใสมาแปะตัวแมลงนี้ออกไปก็ได้”
          ที่เหลือจากนี้ หากต้องการมีสุขภาพผิวที่ดี ก็ต้องหมั่นทาครีมบำรุงผิว ออกกำลังกายและกินอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงผิวเป็นประจำ เพราะสุขภาพของผิวหนังก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ ไม่ต่างกับการป่วยเป็นโรคอื่นๆ


           เรื่องโดย : ชัชวรรณ ปัญญาพยัตจาติ Team Content www.thaihealth.or.th

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

7 เรื่องควรรู้ “บารากู่ไฟฟ้า”
/data/content/24464/cms/e_deijlnopqs56.jpg
       1. บารากู่ไฟฟ้าเป็นชื่อเรียกอุปกรณ์เลียนแบบการสูบบุหรี่ชนิดใหม่ มีลักษณะเป็นแท่งยาว 11 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 9.5 มิลลิเมตร เปรียบเทียบกับมวนบุหรี่ธรรมดาที่มีความยาว 8.7 เซนติเมตร และเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 มิลลิเมตร
       2. ปลอกแท่งบารากู่ไฟฟ้าเป็นโลหะบาง ภายในจะมีสายพลาสติกขนาดเล็กที่ต่อกับแบตเตอรี่ เพื่อทำให้เกิดละอองฝอย จากแผ่นใยสังเคราะห์ที่ชุบน้ำยาที่ปรุงแต่งเป็นกลิ่นผลไม้ น้ำยามีลักษณะเป็นน้ำมันมีกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ แต่กลิ่นฉุนแรงมาก กลิ่นจะติดนิ้วมือที่สัมผัสน้ำยานานและล้างออกยากมาก
       3. บารากู่ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง ขนาดหนึ่งกล่องมี 5 มวน ราคา 300 บาท หรือมวนละ 60 บาท
       4. บนกล่องบารากู่ไฟฟ้าพิมพ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษว่าไม่มีนิโคติน ไม่มีทาร์ ไม่มีคาร์บอนมอนนอกไซด์
       แต่ละแท่งสูบได้ถึง 400 ครั้ง น้ำยาจะหมดและแบตเตอรี่คงจะหมด ไม่ต้องมีการเติมน้ำยาหรือชาร์จแบตเตอรีใหม่ สูบหมดมวนก็ทิ้งไปเลย
       5. การทำงานของแท่งบารากู่ไฟฟ้าเหมือนกับบุหรี่ไฟฟ้า เพียงแต่แท่งบารากู่ไฟฟ้า แบตเตอรีและน้ำยาใช้หมดในแต่ละมวน ไม่มีการเติมน้ำยาใหม่ หรือชาร์จแบตเตอรีใหม่
       6. น้ำยาที่อยู่ภายในแท่งบารากู่ไฟฟ้า อยู่ในรูปที่ชุบอยู่กับใยสังเคราะห์ น้ำยาดังกล่าวเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ให้เกิดกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ ขณะที่น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นนิโคตินเหลว สารนิโคตินไม่มีกลิ่น แต่นิโคตินเหลวที่ใช้ในบุหรี่ไฟฟ้ามีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากการเติมสารเคมี 10-20 ชนิด รวมถึงสารเคมีที่ทำให้น้ำนิโคตินเหลวระเหยเป็นละอองไอน้ำง่ายขึ้น เพื่อทำให้เวลาสูบแล้วพ่นออกมาเห็นเป็นควันเหมือนการสูบบุหรี่ โดยสรุปก็คือบารากู่ไฟฟ้ากับบุหรี่ไฟฟ้า มีอุปกรณ์การสูบที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่น้ำยาที่ใช้แตกต่างกัน
       7. ถ้าหากน้ำยาที่ใช้กับบารากู่ไฟฟ้า มีสารนิโคตินผสมอยู่ด้วย ก็อาจจะเรียกไว้ว่าเป็น “บุหรี่ไฟฟ้าชูรส” คือเป็นบุหรี่ไฟฟ้าที่ปรุงแต่งให้เกิดกลิ่นรสชนิดต่าง ๆ โดนส่วนใหญ่เป็นรสผลไม้
       8. บารากู่ไฟฟ้า น้ำยาที่ทำให้เกิดควันไอน้ำเวลาสูบ ประกอบด้วยสารเคมีสังเคราะห์ที่มีกลิ่นผลไม้ชนิดต่าง ๆ สูบด้วยแท่งโลหะที่มีแบตเตอรีบรรจุอยู่ภายใน ส่วนบารากู่ธรรมดา สิ่งที่ใช้เผาให้เกิดควันสำหรับสูบประกอบด้วย ยาเส้นหมักกับกากผลไม้และน้ำตาล สูบจากอุปกรณ์ที่มีรูปลักษณ์คล้ายแจกัน
       9. ทั้งบารากู่ธรรมดาและบารากู่ไฟฟ้ามีการอ้างว่าไม่มีสารนิโคติน ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
       10. ถ้าหากว่าน้ำยาปรุงแต่งกลิ่นของบารากู่ไฟฟ้าไม่มีการผสมสารนิโคตินจริงก็ไม่น่าจะเสพติด ยกเว้นมีการผสมสารเสพติดชนิดอื่น
       11. บารากู่ไฟฟ้ายังคงอันตราย เพราะโดยปกติการสูดดมสารเคมีที่เป็นสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายทั้งสิ้น
       12.สารเคมีที่ใช้ในการปรุงแต่ให้เกิดกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ ในบารากู่ไฟฟ้า ยังไม่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง  เนื่องจากยังไม่มีการอนุญาตให้ขายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเพิ่งจะมีการใช้บารากู่ไฟฟ้าไม่นาน จึงไม่สามารถสรุปได้ว่า การสูบบุหรี่บารากู่ไฟฟ้าไม่มีอันตรายต่อร่างกาย       13.จากการที่ลองแกะแท่งบารากู่ไฟฟ้าแล้วแยกส่วนประกอบ พบว่าน้ำยาที่ทำให้เกิดกลิ่นผลไม้ภายในแท่งบารากู่ไฟฟ้า มีกลิ่นฉุนติดนิ้วมือที่สัมผัสน้ำยา ล้างออกยากมาก กลิ่นยังติดมือถึงข้ามคืน จึงน่าจะอนุมานได้ว่าสารเคมีที่เป็นไอน้ำจากการสูบบารากู่ไฟฟ้า จะตกค้างอยู่ในปอดของผู้สูบ เป็นอันตรายต่อปอดอย่างแน่นอนในผู้ที่ใช้ติดต่อกัน
       14. สารเคมีที่ปรุงแต่งกลิ่นบารากู่ไฟฟ้า อาจมีสารที่เมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านปอด เป็นสารเคมีที่มีอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย เหมือนกรณีสารพิษจากการสูบบุหรี่ธรรมดาได้
       15. คนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าต่อเนื่องก็เพราะมีสารนิโคติน การสูบบุหรี่ธรรมดา การสูบบารากู่ หรือการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นเพียงวิธีการนำสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดเข้าสู่ร่างกาย ถ้าหากบารากู่ไฟฟ้าไม่มีการผสมสารนิโคตินจริง การสูบบารากู่ไฟฟ้าน่าจะเป็นเพียงแฟชั่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อผู้คนรู้ว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายคนก็จะเลิกใช้ จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ผู้ผลิตบารากู่ไฟฟ้าจะเติมสารนิโคตินในบารากู่ไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการเสพติด เพื่อไม่ให้คนเลิกสูบ
       16. ไม่ควรหลงเชื่อพ่อค้าที่ขายบารากู่ไฟฟ้าว่าสูบแล้วไม่มีอันตราย
       17. ถ้ายังอยากลองสูบหรือกำลังสูบอยู่ อยากจะให้นำแท่งบารากู่ไฟฟ้ามาแกะภายในออกดู จะพบส่วนประกอบที่ทำให้เกิดละอองฝอย และน้ำยาบารากู่ไฟฟ้า น้ำยาที่เหนียวเหมือนน้ำมันจะมีกลิ่นฉุนติดนิ้วมือของคุณที่แทบจะล้างไม่ออก แล้วคุณจะตัดสินใจได้ว่า คุณยังอยากสูบมันต่อไปอีกหรือไม่


       ที่มา : เว็บไซต์ASTVผู้จัดการออนไลน์ลิ้งค์

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

กลยุทธ์รับมือกับอาการอยากบุหรี่

การสูบบุหรี่กับสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ มีรายงานการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่จะไม่สามารถต้านทานความอยากสูบบุหรี่ได้เมื่อดื่มเหล้าเข้าไป เหล้าและสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ จะทำให้คุณมีความอดทนต่อความอยากสูบบุหรี่ได้น้อยลง ดังนั้น ขอให้พยายามหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสิ่งเสพย์ติดอื่นๆ สัก 2 - 3 สัปดาห์
/data/content/24507/cms/e_cfjmnrsvy356.jpg
กลยุทธ์ในการเลิกบุหรี่
ถ่วงเวลาไว้ (Delay) 
      เมื่ออยากสูบบุหรี่ อย่าเพิ่งเปิดซองบุหรี่หรือ จุดบุหรี่ เมื่อผ่านไป 5 นาทีผ่านไป ความอยากจะลดลง แล้วความตั้งใจของคุณที่จะเลิกก็จะกลับมา
หายใจลึกๆ ช้า  (Deep breathe) 
      หายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ 3 - 4 ครั้ง
 ดื่มน้ำสักแก้ว  (Drink water) 
       ค่อยๆจิบน้ำ และ อมไว้สักครู่ให้รู้รสน้ำแล้วจึงกลืนลงคอ
เปลี่ยนอิริยาบถ (Do something else) 
        อย่าคิดเรื่องการสูบบุหรี่ เปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่นเสีย เช่น ฟังเพลง ไปเดินเล่น หรือ ไปหาเพื่อนฝูง
กลยุทธ์เสริม
เพียงมวนเดียวก็ผลร้าย 
     ขอให้ใจแข็ง การกลับไปสูบบุหรี่แม้เพียงมวนเดียวจะเป็นผลทำให้กลับไปสูบใหม่ คุณต้องต่อสู้กับความอยากให้ได้ การเลิกสูบบุหรี่ คือ การต่อสู้กับความอยาก แม้กระทั่งบุหรี่เพียงมวนเดียว และต่อสู้กับจิตใจของคุณเอง
อดเป็นวันๆ ไป 
     พยายามตั้งใจให้วันผ่านไปโดยไม่สูบบุหรี่ จำบุหรี่มวนแรกของคุณได้ไหม? บางทีอาจจะทำให้คุณเวียนหัวไม่สบาย ก็ได้ ทำดีต่อร่างกายของคุณให้ปรับสภาพได้โดยไม่ต้องมีนิโคติน
เครื่องดื่มชา กาแฟ และเครื่องดื่มประเภทโคล่า 
     เหล่านี้มีคาเฟอีน แต่ไม่มีนิโคติน การที่ไม่มีนิโคตินทำให้ร่างกายดูดซึมคาเฟอีน เข้าไปมากกว่าธรรมดา ทำให้กระวนกระวายและนอนไม่หลับ พยายามดื่มกาแฟให้น้อยลง หรือ ให้อ่อนลงหรือดื่มเครื่องดื่มคล้ายกาแฟ น้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือไดเอ็ดโคล่าที่ไม่คาเฟอีน
เตือนสติตัวเอง 
     เอาเหตุผลที่เลิกบุหรี่ที่เคยจดไว้ออกมาดู และคิดถึงสิ่งที่อยากทำให้ฐานะผู้ไม่สูบบุหรี่
ปฏิเสธบุหรี่จากผู้อื่น 
      อย่าเกรงใจเมื่อผู้อื่นให้บุหรี่คุณ คุณมีสิทธิปฏิเสธบุหรี่โดยไม่ทำให้ใครเดือนร้อน
เมื่อมือว่าง
      พยายามใช้มือทำโน่นทำนี่อย่าปล่อยให้มือว่าง เอากุญแจมาขยำ หรือนับลูกประคำก็ได้
/data/content/24507/cms/e_cdiklqrt3456.jpg
ข้อควรปฏิบัติ เมื่อท่านต้องการจะเลิกสูบบุหรี่
          1. มีความตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องการเลิกสูบบุหรี่ ด้วยตัวเอง
          2. กำหนดวัน “ปลอดบุหรี่” ของตัวเอง อาจเป็นวันเกิดของตัวเอง ของคู่ครอง ของลูก ของคุณพ่อของคุณแม่ หรือเป็นวันสำคัญของชาติ หรือเป็นวันสำคัญของศาสนา ...แต่ทั้งนี้วันที่กำหนด ควรเลือกเป็นช่วงเวลาที่ตนเองไม่มีอารมณ์เครียดต่อสิ่งใดมากเป็นพิเศษ
          3. ทิ้งบุหรี่และอุปกรณ์การสูบไปเลย ไม่ให้มีหลงเหลืออยู่ที่ใดแม้แต่ที่เดียว ทั้งซองบุหรี่ กล่องบุหรี่ ไฟแช๊ค ที่เขี่ยบุหรี่ และควรอยู่ห่างๆเพื่อนหรือญาติที่สูบบุหรี่ด้วย ..หากมีความจำเป็นจะต้องติดต่อ ช่วงนั้นก็ควรใช้มือถือโทร.เอา
          4. แจ้งให้คนในครอบครัว ทั้งลูก พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา รวมทั้งคนในหน่วยงาน ทั้งนายจ้าง เพื่อนร่วมงาน และรวมทั้งเพื่อนสนิททุกคนทราบ เพื่อให้ทุกคนคอยพูดให้กำลังใจ หรือพูดดุด่า สบประมาท หรือคอยร้องห้ามตลอดเวลา
          5. รับประทานอาหารต่อมื้อ อย่าให้อิ่มมากนัก ควรรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ให้มากกว่าเดิม ช่วงนี้ควรงดสุรา กาแฟ อาหารรสจัด ไม่ควรนั่งที่โต๊ะอาหารนานๆ ไม่ควรลงว่ายน้ำในสระหรือในทะเลนานๆ เพราะหลังจากรับประทานอาหารอิ่ม ความเคยชินจะทำให้อยากสูบบุหรี่ และหลังจากขึ้นจากสระว่ายน้ำหรือขึ้นจากทะเล ตอนที่ตัวเย็นๆ ความเคยชินจะทำให้อยากสูบบุหรี่
          6. ในช่วงแรกของการเลิกสูบบุหรี่ ทุกคนจะรู้สึกหงุดหงิด อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นกันทุกคน ควรเตือนตนเองอยู่เสมอว่า “เราไม่สูบบุหรี่แล้ว” ควรจะประวิงเวลาของการสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆ และควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ ทานของเปรี้ยวๆ หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อลดความอยากสูบบุหรี่
          7. ออกกำลังกายให้เหงื่อออกบ่อยๆ หรือทำงานอย่าให้มือและสมองอยู่ว่าง หรืออาจทำในสิ่งที่ตนเองชอบในช่วงนั้น เพื่อจะได้ลดความอยากสูบบุหรี่ ..บางคนที่ใช้วิธีรับประทานอาหารน้อยๆแต่บ่อยๆแทนนั้น เพื่อหวังจะให้น้ำลายและน้ำย่อยทำงาน ซึ่งก็อาจจะทำได้ แต่การรับประทานอาหารบ่อยๆโดยไม่ออกกำลังกาย มักจะทำให้ผู้เลิกสูบบุหรี่ มีร่างกายอ้วน
         8. บางคนอาจจะต้องการอยู่ภายใต้การบังคับดูแลของแพทย์และพยาบาล ซึ่งก็สามารถทำได้ สำหรับคนที่จิตใจไม่แข็งพอ
        มีข้อมูลเพิ่มเติม ร้อยละ 80 ของผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ จะเลิกได้ด้วยตัวเอง และผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จ ส่วนใหญ่ใช้วิธีไม่สูบบุหรี่เลย (หักดิบ) ...แต่ผู้ที่เลิกสูบบุหรี่โดยใช้วิธีค่อยๆลดจำนวนมวนที่สูบลง ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้
         การเลิกสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะสูบบุหรี่มานานเท่าใด ไม่ว่าผู้เลิกสูบบุหรี่จะมีอายุมากเท่าไร การเลิกสูบบุหรี่ทันทีจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถึงขนาดเจ็บป่วย จะมีก็แต่อาการหงุดหงิดกระวนกระวายอยากจะสูบบุหรี่


         ที่มา: กลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลกลิ้งค์

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

ผื่นแพ้ยุง : รักษาและป้องกันอย่างไร?

ช่วงฝนตกน้ำท่วม หลายคนคงมีปัญหารบกวนจากกองทัพยุงเป็นแน่  ยุงที่กัดส่วนใหญ่ในบ้านเราคือ ยุงรำคาญ (Culex quinquefasciatus) เป็นยุงเพศเมียเพราะต้องการเลือดในการสร้างไข่ เมื่อยุงกัดจะปล่อยน้ำลายออกมาซึ่งในน้ำลายนี้เองมีสารโปรตีนที่เป็นสาเหตุของผื่นคันและการแพ้
/data/content/24669/cms/e_fghoqwxy1579.jpg
            ผื่นยุงกัดลักษณะเป็นอย่างไร ผื่นยุงกัดมีอาการแสดงได้หลายรูปแบบ และอาการขึ้นกับปริมาณยุงที่กัดด้วย ส่วนใหญ่เมื่อโดนกัดซ้ำหลายๆครั้ง อาการมักจะน้อยลง โดยทั่วไปจะเห็นเป็นตุ่มนูน แดง คัน ขึ้นอยู่นานประมาณ 20 นาที และค่อยๆยุบไปได้เอง ตำแหน่งที่พบบ่อยคือบริเวณขา ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นการแพ้ แต่เป็นปฏิกริยาต่อน้ำลายยุงเท่านั้น ส่วนในคนที่แพ้ยุงจริงๆนั้นหลังถูกกัดจะพบตุ่มนูนแดงคงอยู่นานหลายวัน หรือพบตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ (บางครั้งใหญ่เกิน 5 เซนติเมตร) ตุ่มน้ำพอง จ้ำเลือด ในบริเวณที่โดนกัด ในบางรายมีผื่นลมพิษทั่วตัวหรือลมพิษชนิดลึกร่วมกับมีอาการหมดสติได้ ซึ่งในกลุ่มนี้มักมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจากการแกะเกาและมีรอยดำตามมาได้บ่อย
            วินิจฉัยได้อย่างไรว่าเราแพ้ยุง อาศัยทั้งจากประวัติ ลักษณะตุ่มที่โดนกัดว่ารุนแรงกว่าคนทั่วไป นอกจากนั้นอาจทำการตรวจเพิ่มเติมเช่นทำการทดสอบภูมิแพ้ผิวหนังที่เรียกว่า skin prick test โดยใช้สารสกัดจากน้ำลายยุงมาสะกิดผิวหนังในบริเวณท้องแขนและดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น ในรายที่มีประวัติแพ้รุนแรงมาก อาจใช้วิธีเจาะเลือดดูค่าภูมิคุ้มกันต่อยุงได้ (specific IgE)
   /data/content/24669/cms/e_hijlmsuvz456.jpg          การรักษา ในรายเป็นตุ่มยุงกัดธรรมดา อาจใช้ยาทากลุ่ม calamine หรือ menthol เพื่อให้รู้สึกเย็นสบาย ลดอาการคัน หรือยาทากลุ่ม สเตียรอยด์ ส่วนในรายที่เป็นตุ่มขนาดใหญ่ อาจใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ โดยเลือกความเข้มข้นให้เหมาะสม เช่นในเด็กควรใช้ยาที่มีความแรงอ่อนเช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ร่วมกับรับประทานยาแก้แพ้เช่น chlorpheniramine, cetirizine บางครั้งถ้ามีอาการรุนแรงมากอาจจำเป็นต้องรับประทานยาสเตียรอยด์ร่วมด้วยซึ่งควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
             ยุงกัดจนแขนขาลาย รักษาอย่างไรดี รอยดำจากยุงกัด เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยกังวลมาก เนื่องจากเป็นเรื่องของความสวยงาม ซึ่งการรักษา แพทย์อาจใช้ยาทาที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีและที่สำคัญต้องป้องกันอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้มีรอยโรคจากยุงกัดเพิ่ม
             การป้องกัน นอกจากการใส่เสื้อผ้าปกปิด หลีกเลี่ยงแหล่งที่มียุงชุม รวมถึงกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ใช้ยาจุดกันยุงแล้ว บางครั้งอาจจำเป็นต้องยาทากันยุง (insect repellants) บริเวณผิวหนังร่วมด้วย ปัจจุบันสารเหล่านี้เริ่มใช้กันแพร่หลาย มีหลายยี่ห้อในท้องตลาด ทั้งครีม โลชั่น สเปรย์ แป้งและแผ่นอาบน้ำยา ซึ่งสารเหล่านี้จะระเหยเป็นกลิ่นที่ยุงไม่ชอบทำให้ยุงเข้ามากัดเราน้อยลง สารที่นิยมใช้มีดังนี้
             1. DEET (N,N-diethyl-3-methylbenzamide)  สามารถทาที่ผิวหนังโดยตรงหรือใช้พ่นที่เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ต่างๆได้ ระยะเวลาป้องกันยุงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร โดยถ้าความเข้มข้นน้อยกว่า 10% จะป้องกันยุงได้ประมาณ 1-3 ชั่วโมง ถ้าความเข้มข้น 10-30% ป้องกันยุงได้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง ไม่ควรทาบริเวณใกล้ตาหรือผิวหนังที่เป็นแผล ในเด็กเล็กควรใช้สารนี้เมื่ออายุมากกว่า 2 เดือนเพื่อป้องกันผลข้างเคียงต่อระบบประสาทและเลือกใช้ความเข้มข้นที่น้อยกว่า 10%
             2. ตะไคร้หอม สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย citronella oil และ geraniol  ข้อดีคือเป็นสารสกัดจากพืชธรรมชาติ แต่ป้องกันยุงได้ในช่วงสั้นประมาณ 20-30 นาที
             3. น้ำมันยูคาลิปตัส (lemon eucalyptus oil) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติเช่นกัน ป้องกันยุงได้ในช่วงประมาณ 2-5 ชั่วโมง
             4. Permethrin นิยมใช้ฉีดพ่นที่ข้าวของเครื่องใช้เช่นเสื้อผ้า รองเท้า มุ้ง สามารถติดทนแม้จะทำการซักไปแล้วหลายครั้ง
             5. Picaridin เป็นสารตัวใหม่ที่นิยมใช้ในต่างประเทศ มีประสิทธิภาพดี ไม่มีกลิ่นและระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า DEET
            ผู้ป่วยที่แพ้ยุงนั้นพบได้ไม่บ่อยแต่มักทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำรงชีวิต รวมถึงผลข้างเคียงในด้านความสวยงาม นอกจากนั้น ยุงยังเป็นพาหะของโรคต่างๆอีกหลายโรค ดังนั้นทุกคนที่แพ้หรือไม่แพ้ยุงจึงควรหลีกเลี่ยงและป้องกันไม่ให้โดนยุงกัดเช่นกัน


          ที่มา : เว็บไซต์คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
          โดย อ.นฤมล ศิลปอาชา ภาควิชาตจวิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospital คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ตลิ้งค์

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีลดความเครียดในการทำงาน

      /data/content/24326/cms/e_aghmsuvxz178.jpg
          การทำงานเป็นสาเหตุให้คนเราเกิดความเครียดได้เสมอไม่มากก็น้อย และ เมื่อเกิดความ เครียดแล้ว แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป บางคนอาจปวดศีรษะ ไมเกรนกำเริบ บางคนท้อง อืดเฟ้อ บางคนหงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย บางคนถอนผม บางคนกัดหรือฉีกเล็บ บางคนนั่งเขย่าขาโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนให้คุณรีบผ่อนคลายความเครียดได้แล้ว ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
          ประการแรก คงต้องออกกำลังกายเพื่อระบายฮอร์โมนแห่งความเครียดออกไปให้หมด จะ เป็นการออกกำลังกายระหว่างการทำงาน เช่น การเดินขึ้นลงบันได หรือจะเป็นการเล่นกีฬา หรือทำงาน บ้านในตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือในวันหยุดก็ได้ การออกกำลังกายจนได้เหงื่อจะกระตุ้นให้ ร่างกายหลั่ง ฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
          ประการที่สอง คือต้องพักผ่อนให้พอ ไม่จำเป็นอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้าน ต้องรู้จัก บริหารเวลา เพื่อจะได้มีเวลาพักผ่อนส่วนตัวและมีเวลาให้ครอบครัวด้วย อย่าลืมว่าเครื่องจักรยังต้องมีเวลา หยุดพัก และซ่อมบำรุง คุณเองก็เช่นกันต้องมีเวลาพักผ่อนบ้างเพื่อจะได้มีพลังสำหรับการทำงานในวันต่อไป
          ประการที่สาม คือการพูดคุยปรึกษาปัญหาที่คุณหนักใจกับคนใกล้ชิด แม้บางครั้งเขาอาจ ช่วยคุณแก้ปัญหาไม่ได้ แต่การได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป และได้คำปลอบประโลมกลับมา คุณจะรู้สึก ดีขึ้น สบายใจขึ้น และเมื่อใจสบาย สมองปลอดโปร่ง ก็อาจคิดแก้ปัญหาได้ในเวลาต่อมา
          ประการที่สี่ คือการรู้จักปรับเปลี่ยนความคิด อย่าเอาแต่วิตกกังวลให้มากเกินไป ลองคิดใน หลายๆ แง่มุม คิดในสิ่งดีๆ คิดอย่างมีความหวังบ้าง และอย่าคิดหมกมุ่น แต่ปัญหาของตัวเอง คิดถึงคนอื่น บ้าง ยังมีคนลำบากกว่าคุณอีกมาก จะได้มีกำลังใจต่อสู้ปัญหาต่อไป
          ประการสุดท้าย คือการฝึกเทคนิคคลายเครียด เช่น การหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องพองออก และ หายใจออกช้าๆ ให้ท้องแฟบลง จะช่วยชะลอความโกรธ คลายความกังวล ลดความกลัว และความตื่น เต้นลงได้ นอกจากนี้ควรฝึกสมาธิเพื่อสงบจิตใจ โดยมีสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก จะช่วยคลายเครียดได้เป็น อย่างดี


          ที่มา : เว็บไซด์กรมสุขภาพจิต
          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ตลิ้ง

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ชวนรู้จักกับ “สารพิษ” ที่ “คิด” ว่าอยู่ในขวดน้ำดื่ม

/data/content/24575/cms/e_fgjnopuv1359.jpg
          ภายหลังการเปิดเผยถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงและวิเคราะห์ผลของน้ำขวดพลาสติกจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่พบสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง รวมถึงไม่พบสารพิษไดออกซิน (Dioxins) สาร Bisphenol A (BPA) หรือสาร PCB (Polychlorinated biphenyl) ในขวดน้ำที่ถูกทิ้งไว้ในรถอุณหภูมิสูงแต่อย่างใดนั้น
          จากกระแสข่าวดังกล่าว ยังชวนให้มีข้อสงสัยและเกิดการตั้งคำถามไปต่างๆ นานาว่า ข้อมูลเหล่านั้นให้คำตอบที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ เหตุใดถึงไม่มีการพูดถึง “สารบีพีเอ” (BPA) ในขวดน้ำ รวมถึงยังไม่แน่ใจในความปลอดภัยว่า การทิ้งขวดน้ำไว้ในรถยนต์ที่มีอุณหภูมิสูงจะปลอดภัยจริง เรามาทำความรู้จักกับสารพิษดังกล่าวกันค่ะ
‘สารไดออกซิน( Dioxins)’
          นายคงศักดิ์ ดอกบัว ผู้อำนวยการฝ่ายสารสนเทศและกลยุทธ์อุตสาหกรรม สถาบันพลาสติก อธิบายให้ฟังว่า สารไดออกซิน( Dioxins) เป็นสารพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของสารเคมีจำพวกอโรมาติกที่มีคลอไรด์เป็นองค์ประกอบเท่านั้น ซึ่งเป็นการเผาไหม้ที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าเผาที่อุณหภูมิสูงหรือน้อยกว่านั้น ก็จะไม่เกิดสารพิษชนิดนี้ และสารพิษชนิดนี้ไม่มีที่ใช้ในอุตสาหกรรมใดๆในปัจจุบัน ดังนั้นการเกิดสารพิษชนิดนี้จึงไม่ได้เกิดจากการปนเปื้อนในกระบวนการผลิตจากอุตสาหกรรมใดๆ
/data/content/24575/cms/e_fjnopqvz1269.jpg
          “ตัวอย่างการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ที่มักจะเกิดขึ้น เช่น เหตุการณ์ไฟไหม้บ้าน เนื่องจากภายในบ้านมีสายไฟที่ทำจากพลาสติกประเภท PVC ที่มีสารอโรมาติกส์คลอไรท์เป็นองค์ประกอบอาจทำให้เกิดสารไดออกซิน (Dioxins) หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำจากพลาสติกไม่ติดไฟอย่าง โทรทัศน์หรือโทรศัพท์ หากเกิดการเผาไหม้ก็สามารถเกิดสารพิษชนิดนี้ได้
          ซึ่งสารที่มีสมบัติคล้ายสารไดออกซิน คือ สารกลุ่มโพลี คลอริเนตเตท ไดเบนโซพารา ไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-para-dioxins: PCDDs) โพลีคลอริเนตเตท ไดเบนโซ ฟูแรน (Polychlorinated dibenzo furans: PCDFs) และโพลีคลอริเนตเตทไบฟีนิล (Dioxins–like polychlorinated biphenyls: DL-PCBs)” นายคงศักดิ์อธิบาย
  ‘สาร Bisphenol A (BPA)’
          “สำหรับสาร Bisphenol A (BPA) ไม่ใช่สารก่อมะเร็งอย่างแน่ชัดอย่างที่มีการแชร์ข้อมูลกันแต่แค่มีผลทดลองว่ามีส่วนเร่งให้เกิดเนื้องอกในอัณฑะของหนูตัวผู้แต่ยังไม่เคยมีการทดลองในคนแต่อย่างใด สารตัวนี้เป็นสารที่อาจตกค้างในพลาสติกประเภท พอลิคาร์บอเนต (Polycarbonate, PC) ซึ่งเคยใช้ผลิตเป็นขวดนมเด็ก แต่พบว่าอาจมีการปนเปื้อนของสาร Bisphenol A (BPA)
          เมื่อให้ความร้อนในระดับสูงโดยเฉพาะในขณะอบฆ่าเชื้อ ทำให้ปนเปื้อนในน้ำนมได้ ทำให้มีการยกเลิกการใช้พลาสติกประเภทนี้ในการผลิตเป็นขวดนมเด็ก ซึ่งประเทศไทยเองก็ไม่ได้ใช้พลาสติกชนิดนี้ในการผลิตขวดนมสำหรับเด็ก แต่จะใช้พลาสติกประเภท โพลีซัลโฟน ( Polysulphone) และพลาสติกโพลีโพรพิลีน (PP) แทน” ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและสารสนเทศฯ สถาบันพลาสติก อธิบายเพิ่มเติม
/data/content/24575/cms/e_fghmpvxyz239.jpg
          ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและสารสนเทศฯ สถาบันพลาสติก บอกอีกว่าการปนเปื้อนสาร Bisphenol A (BPA) ของน้ำดื่มจากขวดพลาสติกไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะขวดน้ำพลาสติกที่ใช้กันส่วนใหญ่ทำมาจากขวด PET หรือ พอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate,PET) จะไม่มีสาร Bisphenol A ปนเปื้อนเลย เพราะสารชนิดนี้อาจจะพบได้ในพอลิคาร์บอเนต (Polycarbonate, PC) เท่านั้น
          “ที่สำคัญคือ สาร Bisphenol A ไม่ใช่สารก่อมะเร็งและหากมีการปนเปื้อนเกิดขึ้น จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนของร่างกาย ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายผิดเพี้ยน มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนหญิงเพิ่มมากขึ้น  และอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กทารกด้วย” ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและสารสนเทศฯ สถาบันพลาสติก
“สาร PCB (Polychlorinated biphenyl)”
          สาร PCB (Polychlorinated biphenyl) เป็นสารพิษที่เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์แบบเดียวกับสารไดออกซิน (Dioxins) และเป็นสารพิษกลุ่มเดียวกัน ซึ่งสารพิษทั้ง 3 ชนิด จะไม่สามารถปนเปื้อนในน้ำดื่มได้อย่างแน่นอน
          ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและสารสนเทศฯ สถาบันพลาสติก ฝากทิ้งท้ายว่า ข้อควรระวังของน้ำดื่มจากขวดพลาสติกคือ การปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียที่เกิดจากการยกขวดน้ำขึ้นดื่มจากปาก จึงไม่ควรยกน้ำดื่มจากขวดโดยตรง แต่ควรเทใส่แก้วดื่ม หรือควรดื่มให้หมดครั้งเดียว เพราะแบคทีเรียภายในปากอาจปนเปื้อนทำให้เกิดการเจริญเติบโตในขวดน้ำได้


          เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team content www.thaihealth.or.th