สธ.
เผยโรคซึมเศร้า ภัยเงียบคุกคามสุขภาพ คาดจะกลายเป็นปัญหาอันดับ 1
ของโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า เตือนมีสิทธิ์ป่วยทุกวัย ระบุคนไทยอายุ 15
ปีขึ้นไปป่วยแล้วกว่า 1.5 ล้านคน แต่เข้าถึงการรักษาน้อยเพียง 1 ใน 4
เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ คาดแนวโน้มมีเพิ่มจาก 5 กลุ่มเสี่ยง
ชี้โรคนี้เสี่ยงฆ่าตัวตายจบชีวิตสำเร็จสูงกว่าคนทั่วไป 20 เท่าตัว
พร้อมแนะให้ประชาชนออกกำลังกาย ป้องกันได้
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ จังหวัดนครราชสีมา นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
พร้อมด้วยนายแพทย์คำรณ ไชยศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ
ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบบริการดูแลปัญหาสุขภาพจิตประชาชนของโรงพยาบาล
ปักธงชัย อ.ปักธงชัย
และได้เยี่ยมชมการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคทางกายและทางจิตด้วยดนตรีบำบัด
ของโรงพยาบาลครบุรี อ.ครบุรี เพื่อใช้รักษาการเจ็บป่วยทางกายและโรคทางจิต
เช่นโรคซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ ทำให้การไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี
ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความวิตกกังวล สร้างสมาธิ ร่วมกับการรักษาด้วยยา
ส่งผลให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น
นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวว่า วันที่ 10 ตุลาคม ทุกปี
องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นวันสุขภาพจิตโลก (World Mental Health Day)
ในปีนี้เน้นเรื่อง"ภาวะซึมเศร้า: วิกฤตโลก" (Depression: A Global Crisis)
เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกเร่งรณรงค์ป้องกันแก้ไขปัญหาโรคซึมเศร้า
ซึ่งเป็นภัยเงียบของสุขภาพ เป็นได้ทุกวัย
หากไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลกระทบรุนแรง ทำงานหรือเรียนหนังสือไม่ได้
กลายเป็นภาระการดูแลรักษาอันดับ 1 ของทั่วโลกในอีก 18 ปีข้างหน้า
หรือในพ.ศ.2573 ล่าสุดนี้ทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามากกว่า 350 ล้านคน
ผู้หญิงป่วยมากกว่าผู้ชาย ในจำนวนนี้เข้าถึงบริการรักษาเพียง 1 ใน 10
ส่วนในไทย จากข้อมูลของศูนย์โรคซึมเศร้าไทย กรมสุขภาพจิต
รายงานว่าขณะนี้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 1.5 ล้านคน
หรือประมาณร้อยละ 2 ของประชากรทั้งหมด สังคมไทยยังให้ความสำคัญโรคนี้น้อย
ส่วนใหญ่เข้าใจว่าผู้ป่วยโรคนี้เป็นคนบ้า
และจากข้อมูลการให้บริการของสถานบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ
ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า 100 คนเข้าถึงบริการได้รับการวินิจฉัยและรักษา 28
คนเท่านั้น
นายแพทย์สุรวิทย์กล่าวต่อว่า จากการศึกษาพบว่า
โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุถึงร้อยละ 70 ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
และต้องทรมานในภาวะไร้สมรรถภาพมากเป็นอันดับ 3 ในหญิงไทย
รองจากโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้ารุนแรงจะจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าคนทั่ว
ไปถึง 20 เท่า
"ในการป้องกันแก้ไขและลดความสูญเสียจากโรคซึมเศร้า ในปี 2556 นี้
กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นนโยบายบริการเชิงรุก 3 มาตรการหลักได้แก่
1.ให้กรมสุขภาพจิตเร่งรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค
ซึมเศร้า ว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่บ้าและรักษาหาย
2.ขยายบริการการรักษาโรคนี้ลงในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง
ซึ่งโรคนี้รักษาได้ง่ายๆด้วยยาเพียงเม็ดเดียว กินวันละครั้ง
ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 1 เดือน และต้องกินยาติดต่อกันนาน 6 เดือน
จะสามารถป้องกันการกลับซ้ำได้ดีมาก
และ3.กระตุ้นให้ประชาชนออกกำลังกายชนิดที่ต้องออกแรงและมีเหงื่อ เช่นวิ่ง
ปั่นจักรยานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากจะทำให้สมองหลั่งสารต้านเศร้า
ซึ่งมีชื่อว่าเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ทำให้มีความสุข รู้สึกสบาย
คลายความเครียดกังวลได้ดี" นายแพทย์สุรวิทย์กล่าว
ด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต
กล่าวว่า ขณะนี้กรมสุขภาพจิต ได้จัดระบบเฝ้าระวังโรคซึมเศร้าระดับจังหวัด
โดยอบรมแพทย์ พยาบาลวิชาชีพกว่า 5,000 คน
และอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
เร่งค้นหาผู้ที่มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าใน 5 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่
1.ผู้ป่วยโรคทางกายเรื้อรัง เช่น เบาหวาน มะเร็ง ไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ
และโรคหลอดเลือดสมอง 2.ผู้สูงอายุ 3.หญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอด
4.ผู้ติดสุราและสารเสพติด 5.ผู้สูญเสียทรัพย์สินจำนวนมากหรือสูญเสียคนรัก
ทั้งในภาวะปกติทั่วไปและประสบอุบัติภัยต่างๆเช่นน้ำท่วม เป็นต้น
โดยการคัดกรองหาผู้ที่มีความเศร้าในชุมชนต่างๆ และโรงพยาบาลทุกแห่ง
เพื่อนำผู้ป่วยเข้าสู่การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องโดยการรักษาด้วยยาหรือจิต
บำบัด
ตั้งเป้าจะเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ที่มีปัญหาให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
ซึ่งจะช่วยให้สามารถป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายได้ด้วย
นายแพทย์วชิระกล่าวต่อว่า
โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบมากที่สุด เป็นโรคของสมอง
เกิดจากความบกพร่องของสารสื่อประสาท
ส่งผลให้มีภาวะผิดปกติทั้งร่างกายและจิตใจ
อาการที่เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้า ได้แก่ มีอารมณ์เศร้า ท้อแท้ หดหู่
สิ้นหวังอย่างรุนแรง อาการเกิดตลอดวัน ทำอะไรก็ไม่เพลิดเพลิน
ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการเบื่อหน่าย หมดความสนใจในงาน
การเรียนหรือกิจกรรมที่ทำอย่างมาก
หากพบผู้ใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้ต้องพาไปพบจิตแพทย์
ทั้งนี้ การป้องกันการเกิดโรคทางจิต
หากประชาชนที่มีปัญหาเครียด ไม่สบายใจ นอนไม่หลับ
ไม่ควรเก็บปัญหาไว้คนเดียว ควรระบายปัญหาออก เช่น
ปรึกษาผู้ที่ไว้วางใจที่สุดเพื่อหาทางออก
ช่วยกันดูแลสมาชิกในครอบครัวสอบถามทุกข์สุข ทำกิจกรรม เช่น
ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที
จะสามารถคลี่คลายปัญหาสุขภาพจิตได้ดีมาก โดยร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟิน
(Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ทำให้นอนหลับสนิททุกวัน
และที่สำคัญไม่ควรใช้สารเสพติดหรือดื่มสุราดับทุกข์
เนื่องจากจะทำให้เกิดการเสพติด นอกจากนี้สามารถโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต
1323 และ 1667 ตลอด 24 ชั่วโมง
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น