วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ป้องกัน`โรคหลอดเลือดสมอง`ด้วยอาหารไทย

/data/content/24232/cms/e_cdemnoqvz125.jpg
          โรคหลอดเลือดสมองหรือที่เราเรียกกันว่าสโตรค (Stroke) เป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญเพราะในแต่ละปีจะมีจำนวนผู้ที่เป็นสโตรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย
          จากข้อมูลของ American Stroke Association พบว่าในทุกๆ 4 นาที จะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง 1 คน สำหรับประเทศไทยจากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปรียบเทียบข้อมูลสถานการณ์การเสียชีวิตที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2545-2554) พบว่า มีแนวโน้มการตายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าในปี 2554 มีผู้เสียชีวิต 19,283 คน มีแนวโน้มเพิ่มสูงจาก 21.46 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2545 เป็น 30.04 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2554 โดย ผู้ชายจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้หญิง 1.4 เท่า
          โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดภายในสมอง หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองถูกปิดกั้นด้วยลิ่มเลือด หรือเกิดจากหลอดเลือดภายในสมองแตก เมื่อเลือดออกจะส่งผลให้ทำให้เนื้อสมองตายและเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้ เมื่อสมองไม่ได้รับเลือดระบบการทำงานก็ไม่สามารถทำงานได้ ก็จะเกิดผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย ในส่วนที่สมองส่วนนั้นควบคุมการทำงานอยู่ สมองส่วนใดสูญเสียการทำงาน อวัยวะนั้นก็จะถูกกระทบไม่สามารถทำงานได้หรือทำงานผิดปกติ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือชา บริเวณหน้า แขน ขา ทำให้การมองเห็น การพูด หรือการเคลื่อนไหวร่างกายผิดปกติไปหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ รวมถึงมีผลต่อระบบความคิด ความจำ การตัดสินใจต่างๆด้วย ในกรณีที่มีความรุนแรงมากอาจทำให้เสียชีวิตได้ในทันที
          หนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารเป็นส่วนใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้แก่ การมีน้ำหนักเกินหรืออ้วนระดับไขมันในเลือดที่สูงกว่าปกติ ความดันโลหิตสูง ความเครียดทำให้รับประทานอาหารในปริมาณเยอะ รวมถึงการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
/data/content/24232/cms/e_cdklnpqrsy58.jpg
          อาหารไทยที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
          ข้าวกล้องงอก ซึ่งมีสารกาบาที่เป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลางมากกว่า มีใยอาหารที่ช่วยลดไขมันในเลือด วิตามินอี ไนอะซิน กรดอะมิโนไลซีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และแมกนีเซียม มีการศึกษาที่ระบุว่าข้าวกล้องงอกสามารถป้องกันการตายของเซลล์ประสาทนอกจากนี้ยังช่วยให้ความจำดีขึ้น
         
          ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน เป็นแหล่งของใยอาหาร และวิตามินต่างๆ เช่นวิตามินอี ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์สมองจากการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนแล้วก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ ถั่วเหลืองมีไอโซฟลาโวน เป็นสารพฤษเคมี สารนี้สามารถเพิ่มเอ็นไซม์ในสมองส่วนที่ทำหน้าที่ด้านความจำและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือดสมอง
/data/content/24232/cms/e_bfhqsvw13479.jpg
          ปลาทู ปลากระพง ปลานิล ปลาสวาย ปลาดุก เป็นแหล่งของโปรตีนและไขมันที่ดีต่อสุขภาพดีเอชเอและอีพีเอเป็นกรดไขมันจำเป็นในกลุ่มโอเมกา-3 มีสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของสมองและระบบประสาท ช่วยลดการแข็งตัวของหลอดเลือด
          ไข่ เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ราคาไม่แพง ให้พลังงานต่ำ และเป็นแหล่งของของโปรตีนที่มีคุณภาพสูง ประกอบด้วยสารอาหารที่ดีต่อสมอง เช่น วิตามินบี 2 ซีลีเนียม วิตามินเค และโคลีน ซึ่งโคลีนเป็นสารสื่อประสาทในสมอง หลายคนอาจกังวลถึงคอเลสเตอรอลในไข่อาจทำให้คอเลสเตอรอลสูง แต่จากการศึกษาพบว่าการรับประทานไข่วันละ 1 ฟองไม่ส่งผลโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง กลับกันคือส่งผลดีต่อการลดการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
          สมุนไพรและเครื่องเทศ เช่น กระเทียม กระชาย ใบบัวบก ขมิ้น ข่า ตะไคร้ ขิง ใบมะกรูด ใบกระเพรา ใบโหระพา ใบสะระแหน่ พริกไทยดำ โดยส่วนใหญ่แล้วในสมุนไพรจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยที่มีส่วนช่วยต่อการลดการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกาย บำรุงเลือด ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกาย และทำให้หลอดเลือดแข็งแรง
/data/content/24232/cms/e_acdenoqrstz1.jpg
          ผัก-ผลไม้ 5 สี (เขียว ขาว เหลือง/ส้ม แดง น้ำเงิน/ม่วง) สารพฤกษเคมีหรือที่เรียกกันว่า 'ไฟโตนิวเทรียนท์' มีมากในผักที่มีสีเข้ม สารนี้จะช่วยกำจัดสารพิษออกนอกร่างกายได้เร็วขึ้น ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มประสิทธิภาพของการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และต้านการอักเสบ
          สีแดง เช่น มะเขือเทศสีดา พริก แตงโม มันเทศ ทับทิม เชอรี่ไทย
          สีส้ม เช่น มะม่วงสุก ส้ม มะละกอ ขนุน ฟักทอง ข้าวโพด โทงเทงฝรั่ง
          สีเขียว เช่น ใบตำลึง คะน้า ผักบุ้ง มะม่วงดิบ มะยม
          สีขาว เช่น กระเทียม หัวหอม เห็ด ผักกาดขาว ดอกแค กล้วย ขิง
          สีม่วง เช่น มะเขือม่วง ลูกหว้า มะเม่า อัญชัน กะหล่ำปลีม่วง


          ที่มา : เว็บไซต์ASTVผู้จัดการออนไลน์  ลิ้ง

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รู้ให้ทันโฆษณาชวนเชื่อ “บารากู่ไฟฟ้า”

บารากู่ไฟฟ้า’ สินค้าแปลกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น และมีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายบนโซเชียลมีเดีย พร้อมด้วยโฆษณาชวนเชื่อว่ามีไม่มีพิษภัย และลองได้ไม่เสพติด  
/data/content/24463/cms/e_bfgiklpqrwx6.jpg
          ข้อเท็จจริงจาก "สำนักงานควบคุมการบริโภคยาสูบ กระทรวงสาธารณสุข" หลังจากส่งตัวอย่างบารากู่ไฟฟ้าเพื่อทำการตรวจวิเคราะห์พบว่ามีสารเคมีหลายชนิด เช่น Propylene Glycol Methyl Cyclohexanol Triacetin และยังตรวจพบส่วนประกอบของสารพิษที่เป็นโลหะหนัก ได้แก่ Manganese, Copper, Zinc, Mercury และสารก่อมะเร็ง ได้แก่ Chromium, Arsenic, Cadmium และตะกั่ว
          ขณะที่ "มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่" ก็ได้สรุปข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ “บารากู่ไฟฟ้า” ว่าเป็นชื่อเรียกอุปกรณ์เลียนแบบการสูบบุหรี่ชนิดใหม่ มีลักษณะเป็นแท่งยาว 11 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 9.5 มิลลิเมตร เปรียบเทียบกับมวนบุหรี่ธรรมดาที่มีความยาว 8.7 เซนติเมตร และเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 มิลลิเมตร
          ที่พบขายกันในตลาดขณะนี้มี 2 แบบ คือ แบบหนึ่ง สามารถชาร์จไฟแบตเตอรี่ใหม่ได้ เมื่อใช้หมด และตลับน้ำยาก็เติมใหม่ได้ อีกชนิดหนึ่งเป็นแท่งที่มีแบตเตอรี่และน้ำยาที่ใช้หมดแล้วทิ้งเลย ที่สำคัญบนกล่องบารากู่ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่งพิมพ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษว่าไม่มีนิโคติน ไม่มีทาร์ ไม่มีคาร์บอนมอนอกไซด์
/data/content/24463/cms/e_befklmsuw689.jpg
         ปลอกแท่งบารากู่ไฟฟ้า เป็นโลหะบาง ภายในจะมีท่อพลาสติกขนาดเล็กที่ต่อกับแบตเตอรี่ และมีแผ่นใยสังเคราะห์ชุบน้ำยาที่ปรุงแต่งเป็นกลิ่นผลไม้ จากการทดลองแกะแท่งบารากู่ไฟฟ้าแล้วแยกส่วนประกอบพบว่า น้ำยาที่ทำให้เกิดกลิ่นผลไม้นั้น มีกลิ่นฉุนติดนิ้วมือและล้างออกยากมาก กลิ่นติดมือข้ามคืน จึงอนุมานได้ว่า สารเคมีที่เป็นไอน้ำจากการสูบบารากู่ไฟฟ้าจะตกค้างอยู่ในปอดของผู้สูบเป็นอันตรายต่อปอดอย่างแน่นอนในผู้ที่ใช้ติดต่อกัน
/data/content/24463/cms/e_abefjlqt2689.jpg
          บารากู่ไฟฟ้ากับบารากู่ธรรมดาต่างกันอย่างไร?
          บารากู่ธรรมดา คือการสูบควันจากยาเส้นหมักกับกากผลไม้และน้ำตาล ใช้อุปกรณ์ที่มีรูปลักษณ์คล้ายแจกัน
          บารากู่ไฟฟ้า สูบควันจากน้ำยาที่ประกอบด้วยสารเคมีสังเคราะห์ เพื่อให้กลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆ สูบด้วยแท่งโลหะที่มีแบตเตอรี่บรรจุอยู่ภายใน
          ทั้งบารากู่ธรรมและบารากู่ไฟฟ้ามีการอ้างว่าไม่มีสารนิโคติน ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ เพราะถ้าหากบารากู่ไฟฟ้าไม่มีการผสมสารนิโคตินตลอดไป การสูบบารากู่ไฟฟ้าก็น่าจะเป็นเพียงแฟชั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า ผู้ผลิตบารากู่ไฟฟ้าจะเติมสารนิโคตินในบารากู่ไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการเสพติด
          ดังนั้นการสูบบุหรี่ธรรมดา การสูบบารากู่ หรือการสูบบารากู่ไฟฟ้า ก็เป็นวิธีการหนึ่งในการนำสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายนั่นเอง
          "รู้แบบนี้แล้วยังจะอยากสูบเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในร่างกายอยู่หรือไม่?"


          เรื่องโดย : ภาวิณี เทพคำราม Team Content www.thaihealth.or.th

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ย่ำ 'น้ำขัง' เสี่ยงโรค

สถาบันโรคผิวหนัง แนะประชาชนดูแลและความสะอาดเท้าหลังจากลุยน้ำขัง เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนัง 
น.พ.จิโรจน์ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง แนะ การใส่ใจดูแลและทำความสะอาดเท้าหลังจากการลุยน้ำขัง คือการลุยน้ำแบบน้ำไม่สกปรกมาก บางคนอาจจะไม่รู้สึกว่าอันตราย แต่ที่ควรจะต้องตระหนักยังมีปัญหาเรื่องความชื้นที่ทำให้เท้าเปื่อย อย่างบริเวณง่ามเท้าฉีก เปื่อย ยุ่ย และเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผิวหนังอ่อนแอและขาดความสามารถในการป้องกันเชื้อ โรค ซึ่งเมื่อเชื้อราเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคัน ผิวหนังลอก หรือเป็นกลาก แต่หากเป็นแบคทีเรียจะทำให้เป็นตุ่มหนองได้ หรืออาจจะลุกลามเป็น "ไฟลามทุ่ง" ติดเชื้อลามในชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ต่อมน้ำเหลือง "ลูกหนู" อักเสบและบวมได้
ส่วนการย่ำน้ำที่สกปรกมากๆ มีเศษขยะ สารเคมี ความสกปรกทั้งหลายละลายปนน้ำแล้วขังอยู่ในแอ่ง รวมถึงน้ำในท่อระบายน้ำที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคนับไม่ถ้วนที่เอ่อขึ้นมาบนถนน น้ำชนิดนี้ค่อนข้างมีอันตรายที่ตาเปล่ามองไม่เห็น เพราะไม่จำเป็นต้องมีแผลแต่ไวรัส เชื้อโรค และพยาธิบางชนิดสามารถไชผ่านผิวหนังได้เลยโดยไม่ต้องอาศัยรอยแผลใดๆ บนผิวหนัง
นอกจากนี้ยังมีโรคฉี่หนู ที่เป็นแล้วถึงขั้นเสียชีวิต รวมถึงเศษแก้วหรือเศษโลหะที่อยู่ในแอ่งน้ำ โดยเฉพาะผู้ป่วยเส้นเลือดตีบและเบาหวาน เพราะเป็นแผลง่ายและหายยาก โอกาสติดเชื้อมีสูง อาจจะรุนแรงถึงขั้นต้องตัดเท้า
ส่วนประชาชนทั่วไปหากจำเป็นต้องเดินผ่านประจำ ควรมีบูทยางสลับเปลี่ยนเมื่อต้องลุยน้ำ หากหาไม่ได้อย่างน้อยใช้ถุงพลาสติกสวมเท้าก็พอกันได้ แต่พอผ่านมาได้แล้วต้องรีบล้างเท้า ถ้าเป็นน้ำไม่สกปรกนัก ล้างให้สะอาด ฟอกสบู่ก็พอ แต่ถ้าน้ำสกปรกมากควรใช้สบู่ฆ่าเชื้อหรือเช็ดซ้ำด้วยแอลกอฮอล์
การล้างควรเน้นพื้นที่ซอกนิ้วร่องนิ้ว และง่ามนิ้ว ซึ่งเป็นจุดอับที่มักจะล้างไม่ทั่วถึง และเมื่อล้างเสร็จต้องเช็ดให้แห้ง โดยใส่ใจจุดอับช่วงง่ามนิ้วเป็นพิเศษ
หน้าฝนแบบนี้ถ้าทำได้ให้ใส่รองเท้าแตะหรือรองเท้าพลาสติก และควรมีรองเท้าถุงเท้าสำรองติดรถ ติดออฟฟิศ หรือถ้าติดกระเป๋าไว้บ้างก็ดี เพราะล้างเท้า เช็ดเท้าแล้ว ก็ไม่ควรจะไปใส่รองเท้าหรือถุงเท้าชื้นๆ และสกปรกอีก


ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง Link http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/36824

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

‘กินอยู่’ ให้ฉลาดบนโลกวิถีสะดวก

ปัญหาสุขภาวะในครอบครัวไทยมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหนึ่งอาจมาจากพ่อแม่ ผู้ปกครองที่ไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมทางกาย รวมไปถึงการใส่ใจดูแลเรื่องอาหารการกินของสมาชิกในครอบครัวมากนัก
/data/content/24640/cms/e_acejklnqsy19.jpg
          นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เกิด กิจกรรม "Healthy Family Camp ค่ายครอบครัวสุขภาพดี" โดยศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ร่วมกับ รายการ วาไรตี้ ทูเดย์ บาย สายสวรรค์ ขยันยิ่ง คัดเลือกครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านสุขภาวะมาเข้าค่ายและให้ความรู้เพื่อการส่งเสริมทุกคนในครอบครัวได้หันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการใช้ชีวิตประจำวันโดยให้ความสำคัญกับสุขภาวะทั้ง 4 มิติ คือ กาย ใจ ปัญญา และสังคม
          อ.สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ และผู้จัดการโครงการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาวะที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ การกินอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการปล่อยปละละเลย ให้เด็กไม่ได้กินอาหารเช้า ให้เด็กกินขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม ขนมหวาน น้ำหวาน เป็นต้น แต่ไม่พยายามปลูกฝังให้กินผัก ผลไม้
/data/content/24640/cms/e_bcdgijnoqtu3.jpg/data/content/24640/cms/e_eglmnopty234.jpg
          ที่สำคัญคือไม่มีเวลาออกกำลังกายและทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เด็กส่วนใหญ่ก็จะเครียดกับการเรียน และเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาวะในครอบครัวขึ้นมา
          อาจารย์สง่าบอกอีกว่า หัวใจของการเข้าแคมป์โดยเอาครอบครัวมาทำกิจกรรมแบบนี้ หวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจากที่ไม่ดีให้กลายเป็นดีขึ้น รวมถึงการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ถ้าอยากให้ลูกกินผลไม้มาก ๆ ต้องเอาของไม่ดี เช่น น้ำอัดลม ขนมหวานออกจากตู้เย็น แล้วเอาของผลไม้ ขนมไทยหวานน้อย ใส่แทนเข้าไป ตลอดจนวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ให้พ่อแม่เจียดเวลา พาลูกไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะบ้าง เช่น เดินเล่น ปั่นจักรยาน เล่นกีฬาที่เขาชอบ
/data/content/24640/cms/e_cglnpuvz1348.jpg          หนึ่งในนั้นมีครอบครัวของ น้องภูผา หรือเด็กชายณัฐพัฒน์ วิศรุตการย์ อายุ 6 ขวบ ที่คุณพ่อภีร์ ณภัทร วิศรุตการย์เล่าให้ฟังว่า น้องภูผาเป็นเด็กที่ไม่กินผักเลย นั่นเป็นเพราะว่าคุณพ่อไม่ได้สอนให้น้องกินผักผลไม้ตั้งแต่เด็ก จนพอโตขึ้นต้องให้คุณย่าช่วยโดยจะใช้วิธีสับผักให้ละเอียดและแอบใส่ในไข่เจียวเมนูโปรดของน้อง ก็ช่วยได้บ้างเล็กน้อย
          "นอกจากนี้น้องภูผายังเป็นเด็กที่ซนมาก กังวลว่าจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ และกลัวจะเป็นเด็กสมาธิสั้น จึงพยายามหากิจกรรมให้เขาได้มาเจอสังคมใหม่ ๆ เพื่อเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้อยู่กับเพื่อน ๆ การมาเข้าค่ายครั้งนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าต้องให้เวลากับลูกมากขึ้น โดยเฉพาะการพาออกไปทำกิจกรรมร่วมกัน สำหรับพ่อแม่บางคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีเวลานั้น ผมว่ามันอยู่ที่ตัวเรามากกว่าว่าจะให้ความสำคัญกับตรงนั้นยังไง เพราะสุดท้ายอะไรก็ไม่สำคัญเท่าครอบครัวครับ" คุณพ่อภีร์เล่า
/data/content/24640/cms/e_aefklmn12347.jpg          อีกหนึ่งครอบครัวของ คุณแม่แอน พวรลักษณ์ - คุณพ่อเอ๋ กิตติศักดิ์ และน้องพาวด์ พัชรินทร์ - น้องแพซ ศิริทัณฑ์ คำสีแดง โดยคุณแม่แอนเล่าถึงปัญหาสุขภาวะในครอบครัวว่า ตนและสามีต้องเดินทางไปค้าขายในต่างจังหวัดทีละหลาย ๆ วัน ส่วนใหญ่ก็กินอาหารผัด ๆ ทอด ๆ เพราะเอาสะดวก และไม่ค่อยกินผักผลไม้ จนรู้ว่า น้ำหนักเกิน มีอาการปวดเมื่อย สุขภาพไม่ค่อยดี ส่วนเด็ก ๆ อยู่กับคุณย่าที่บ้านก็จะทำกับข้าวตามใจ
          "ก่อนหน้านี้ก็ได้รับความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น ค้นหาในอินเทอร์เน็ตบ้าง แต่ก็ทำตามที่แนะนำยาก เพราะบางทีเราก็เลือกไม่ได้ หลังจากมาเข้าค่ายก็ได้รับความรู้ที่จะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ เช่น ลดอาหารรสจัดลง ลดอาหารที่มีน้ำตาลไขมันสูง และต้องเพิ่มพฤติกรรมการออกกำลังกายซึ่งก็ได้เรียนรู้ว่ามีท่าง่าย ๆ เช่น การแกว่งแขน การใช้ไม้พลอง หรือใช้การเดิน วิ่ง ไม่ต้องมีอุปกรณ์ และยังมีท่าบริหารระหว่างทำงานด้วย ส่วนของเด็ก ๆ คือ เราได้เรียนรู้วิธีดัดแปลงเมนูให้เขาทานผักผลไม้ง่ายขึ้น อีกอย่างพอเขาทราบว่าผักมีประโยชน์ยังไงเขาก็จะพยายามกินผักมากขึ้น"
          แค่เลือกกินดีมีประโยชน์ก็ทำให้ครอบครัวอบอุ่นได้

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เตือนพ่อแม่เฝ้าระวัง หลังลูกกินนมผงปนเปื้อนแบคทีเรีย

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ เตือนพ่อแม่เฝ้าระวังอาการลูกจากการกินนมผงปนเปื้อนแบคทีเรีย ใน 3-30 วัน หากท้องผูก แขนขาไม่มีแรง คอไม่ตั้ง ให้รีบพบแพทย์ทันที แนะหมอเด็กทุกรายหากเจอเด็กป่วยอาการดังกล่าวขอให้นึกถึงโรคโบทูลิซึมในเด็ก ก่อน ชี้รักษาช้าจนเชื้อแบ่งตัวมากจนเป็นพิษ อาจทำให้หยุดหายใจได้
ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แถลงข่าวเรื่อง "การปนเปื้อนเชื้อโรคในนมผงเด็ก" จาก กรณีทางการนิวซีแลนด์ประกาศเตือนประเทศต่างๆ รวมถึงไทยให้เฝ้าระวังนมและเวย์โปรตีนที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ว่า เชื้อที่อยู่ในนมผงเด็กทารกคือเชื้อแบคทีเรียกลุ่มคลอสทรีเดียม (Clostridium) ซึ่งในต่างประเทศเคยมีรายงานผู้ป่วยโรคโบทูลิซึมในเด็ก (Infantile Botulism) ที่สงสัยว่าเกิดจากเชื้อโรคตัวนี้ที่ปนเปื้อนในนมผงเด็กทารก อาหารกระป๋อง และน้ำผึ้ง
อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาก็เคยมีทารกป่วยโรคนี้จากน้ำผึ้งปนเปื้อนกว่า 100 ราย ซึ่งเชื้อนี้จะเป็นพิษต่อเซลล์ประสาท ส่งผลให้ทารกเป็นอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง และหายใจไม่ได้ จึงมีการประกาศห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปีกินน้ำผึ้ง เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อนได้รับการเรียกคืนเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่บางส่วนได้มีการจำหน่ายและนำไปรับประทานแล้ว แม้ขณะนี้จะยังไม่มีรายงานผู้ป่วยในประเทศไทย แต่ก็ต้องมีการเฝ้าระวัง เพราะหากเด็กมีอาการป่วยจะได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า เด็กที่รับเชื้อจะมีอาการภายใน 3-30 วัน เริ่มด้วยอาการท้องผูก คือไม่ถ่ายอุจจาระ 3 วันขึ้นไป ไม่ดูดนม แขนขาไม่มีแรง คอตกตั้งศีรษะไม่ขึ้น ม่านตาขยาย หนังตาตกร้องเสียงค่อย จนถึงไม่หายใจ โดยอาการจะเป็นมากขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการแบ่งตัวของเชื้อ เนื่องจากเชื้อในนมผงจะอยู่ในสภาพของสปอร์ ซึ่งทนต่อความร้อน และจะมีการแบ่งตัวต่อเมื่อมีน้ำ ดังนั้น กว่าเชื้อจะแบ่งตัวและเจริญเติบโตจนสร้างพิษในลำไส้ของเด็กทารก จึงใช้เวลาตั้งแต่ 3-30 วัน หากเกินระยะเวลาจากนี้ก็ไม่ถือว่าน่าห่วง แต่หากเด็กมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ เพราะเป็นโรคที่รักษาได้
"สำหรับเด็กอายุเกิน 1 ปีหรือผู้ใหญ่ ซึ่งอาจกินผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเวย์โปรตีนปนเปื้อน ไม่น่าเป็นห่วง เพราะในลำไส้จะมีเชื้อแบคทีเรียเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว เชื้อที่กินเข้าไปจึงไม่สามารถแทรกเข้าไปเจริญเติบโตได้และถูกขับออกจนหมด ไม่เหมือนเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งในลำไส้ยังมีเชื้อแบคทีเรียไม่มาก เชื้อจึงเข้าไปเจริญเติบโตและสร้างพิษได้" ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ กล่าว
ศ.นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า การออกมาชี้แจงในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการเตือนให้พ่อแม่เฝ้าสังเกตอาการของลูก หากมีอาการท้องผูก คอไม่ตั้ง แขนขาไม่มีแรง ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และเพื่อส่งสัญญาณถึงกุมารแพทย์ทุกคนให้รู้จักโรคโบทูลิซึมในเด็ก เพราะโรคนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย บางทีกุมารแพทย์อาจจะนึกไม่ถึงโรคนี้ ซึ่งล่าสุดได้ส่งอีเมล์แจ้งให้กุมารแพทย์ทุกคนทราบแล้ว
ด้าน นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้จัดการแผนจัดการความปลอดภัยในเด็ก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าว ว่า ขอให้พ่อแม่สังเกตผลิตภัณฑ์นมผงว่าเป็นล็อตที่มีการปนเปื้อนตามที่ประกาศ หรือไม่ หากไม่ใช่ก็ไม่ต้องกังวลอะไร แต่หากเป็นล็อตที่มีปัญหาขอให้หยุดใช้ คืนผลิตภัณฑ์ และเฝ้าสังเกตอาการของลูก


ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ ลิ้งค์

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

 
ขอบคุณเจ้าของภาพ http://health.kapook.com/view63878.html

สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทย ปี 2556

    จำนวนผู้ป่วยสะสม DHF+DF+DSS ณ วันที่ 2013-07-16 (สัปดาห์ที่ 28)
  • จำนวนผู้ป่วย73,902ราย
  • จำนวนผู้ป่วยตาย73ราย
  • อัตราป่วยต่อแสนประชากร 115.33
  • อัตราตายต่อแสนประชากร 0.11
  • อัตราป่วยตาย (ร้อยละ) 0.1

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สช.เตือน ร.ร.ในสังกัด หลังพบอาหาร-สินค้าอันตรายระบาด

สช. ทำหนังสือถึง ร.ร.เอกชนในสังกัดเรื่องที่มีผู้ขายของอันตรายบริเวณสถานศึกษา เน้นให้ตรวจสอบหลังพบสินค้าอาหารและสินค้าอันตรายขายหน้าโรงเรียนจำนวนมาก 
นายบัณฑิต ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ทำหนังสือถึงผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนให้กวดขันการจำหน่ายสินค้าอันตรายบริเวณหน้าโรงเรียน หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พบว่ามีการขายสินค้าบริเวณหน้าโรงเรียน ซึ่งเป็นสินค้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีคำสั่งห้ามขายได้เริ่มกลับมา ระบาดอีก เช่น ของเล่นชนิดพองตัวเมื่อแช่น้ำ หรือ ตัวดูดน้ำ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต หากเด็กกินหรือกลืนเข้าไป ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ออกกฎหมายห้ามไม่ให้ขายของเล่นชนิดนี้แล้วตั้งแต่ปี 2527 แต่ยังมีผู้ลักลอบเข้ามาขายอยู่
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีลูกโป่งวิทยาศาสตร์ หรือ ลูกโป่งพลาสติก อุปกรณ์ไฟฟ้าช็อตสำหรับแกล้งคน และสินค้าที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็ก เช่น ของเล่นที่ไม่ได้มาตรฐานตามที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมกำหนด ไม่มีฉลากคำเตือนเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งอาหารทอดที่ใช้น้ำมันซ้ำ ลูกชิ้น ไส้กรอก และขนมที่มีสีสันสวยงาม ซึ่งอาจใส่สีสังเคราะห์ที่ไม่เหมาะสม
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กล่าวต่อว่า สช.พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรป้องกันไม่ให้เด็กนักเรียนได้รับอันตรายจากของเล่นที่ไม่ได้มาตรฐานเหล่า นี้ และการบริโภคอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ หรือขนม จึงขอความร่วมมือผู้บริหาร อาจารย์ร.ร.เอกชนช่วยรณรงค์ดูแลการขายสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่เด็ก บริเวณรอบร.ร. เชื่อว่าหากให้ร.ร.เข้ามาร่วมดูแลแจ้งเบาะแส จะเป็นช่องทางช่วยควบคุมไม่ให้ของเล่นอันตรายแพร่ระบาดได้


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ลิ้งค์ http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/35480

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิจัยพบนักศึกษาไทยนิยมเสพ ‘เว็บโป๊’ ผ่านสมาร์ทโฟน

วิจัยพบนักศึกษาไทยนิยมเสพเว็บโป๊ บนสมาร์ทโฟน ผ่านโซเชียลมีเดีย อย่าง ยูทูป เฟซบุ๊ก ฯลฯ พบกลุ่มตัวอย่างบางส่วนเคยประกาศหาคู่ทางอินเทอร์เน็ต ...
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่โรงแรมบางกอกชฎา กรุงเทพฯ มีการประชุม วิชาการทางวัฒนธรรมระดับนานาชาติ จัดโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้มีการเปิดเผยข้อมูลงานวิจัยทางวัฒนธรรมจำนวน 12 เรื่องที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวธ. โดยหนึ่งในจำนวนนั้น มีผลงานวิจัย ของ ผศ.ดร.ศิริพร เสริตานนท์ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น เรื่องผลของการเปิดรับสื่ออนาจารต่อพฤติกรรมทางเพศของนักศึกษามหาวิทยาลัย และแนวทางแก้ไขป้องกันปัญหาการเปิดรับสื่ออนาจาร ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุมเป็นอย่างมาก
ผศ.ดร.ศิริพร เปิดเผยว่า ตนเห็นว่า ปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น มีแนวโน้มเฉลี่ยอายุลดลงเรื่อยๆ ซึ่งเห็นได้จากข่าวสารทุกวันนี้ มีเด็กทำแท้งมากขึ้นและเฉลี่ยอายุลดลง โดยสาเหตุหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์ก็มาจากการรับสื่ออนาจารต่าง จึงได้ทำการวิจัยในหัวข้อดังกล่าว ตั้งเดือนมกราคม-มีนาคม 2555 จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนในเขตกรุงเทพ มหานครและปริมณฑล ตั้งแต่ระดับชั้นปีที่ 1-4 มีเกรดเฉลี่ยตั้งแต่ 2.51-3.00 จำนวน 600 คน แบ่งเป็นชาย 298 คน หญิง 302 คน พบว่า นักศึกษาเปิดรับสื่ออนาจารบนสมาร์ทโฟนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตในโซเชียลมีเดีย อาทิ ยูทูป เฟซบุ๊ก มากถึงร้อยละ 80 โดยกลุ่มตัวอย่างระบุว่า จะรู้จักเว็บไซต์อนาจาร 1-3 เว็บ โดยจะเน้นดูที่หอพัก และบ้านเพื่อน
ผศ.ดร.ศิริพร กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงอายุในการเปิดรับสื่ออนาจาร พบว่า นักศึกษาชายเริ่มรู้จักและสัมผัสสื่อเมื่อช่วงอายุ 10-13 ปี ส่วนนักศึกษาหญิงช่วงอายุ 14-16 ปี ที่สำคัญกลุ่มตัวอย่างบางส่วนยังระบุว่า เคยประกาศหาคู่ทางอินเทอร์เน็ต ขณะที่ วัตถุประสงค์ของการรับสื่ออนาจาร 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.เพื่อความบันเทิง 2.เพื่อผ่อนคลายความเครียด และ 3.เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะศึกษาความรู้เรื่องเพศ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามกลุ่มสาขาวิชา พบว่า กลุ่มนักศึกษาวิชามนุษยศาสตร์/สังคมศาสตร์ เปิดรับสื่ออนาจารเพื่อความบันเทิง อยากรู้อยากเห็น ส่วนกลุ่มนักศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ แพทย์ เน้นบันเทิง หาความรู้เรื่องเพศ เป็นต้น
“ผล การประมวลสัดส่วนการเกิดพฤติกรรมทางเพศของนักศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เคยเปิด รับสื่ออนาจารในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พบว่า นักศึกษามีพฤติกรรมการเปิดรับสื่ออนาจารสูงสุด แต่ปฏิเสธการรับสื่ออนาจารเมื่อเพื่อนชักชวน รองลงมา คือ พฤติกรรมชอบเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนต่างเพศ พฤติกรรมหมกมุ่นทางเพศและเคยซื้อบริการทางเพศ ที่สำคัญยังพบว่า กลุ่มตัวอย่าง เคยมีพฤติกรรมเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ชายกับชาย ร้อยละ 55 และหญิงกับหญิง ร้อยละ 66 นอกจากนี้ ยังพบพฤติกรรมทางเพศที่น่าสนใจที่เกี่ยวเนื่องกับการรับสื่ออนาจาร 3 ลำดับ ได้แก่ 1.เคยขายบริการทางเพศ 2.มั่นใจในความเป็นชายจริงหญิงแท้ และ 3.ควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางเพศได้ดีอีกด้วย ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง กลุ่มเรียนดี ระดับหัวกะทิ อาทิ นักศึกษาคณะแพทย์ และวิทยาศาสตร์ เป็นกลุ่มบริโภคสื่ออนาจารนี้เช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สื่ออนาจารมีผลต่อนักศึกษาทุกกลุ่ม” ผศ.ดร.ศิริพร กล่าว
ผศ.ดร.ศิริพร กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางการป้องกันนั้น กลุ่มอาจารย์เห็นว่า รัฐบาลต้องปรับปรุงกฎหมายและบทลงโทษการประกอบธุรกิจสื่ออนาจารบนอิน เทอร์เน็ต รวมทั้งสถาบันการศึกษาควรมีการสอดแทรกเนื้อหาการเรียนที่สอนให้นักศึกษา รู้จักเลือกรับสื่อที่เหมาะสมในรายวิชาต่างๆ กลุ่มผู้ปกครอง เห็นว่า ควรจะมีการพัฒนาความรู้ของผู้ปกครองให้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเข้าถึงชุมชนออ นไลน์ได้ เพื่อสามารถตรวจสอบติดตามการใช้อินเทอร์เน็ตของบุตรหลานได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องและโดนใจบุตรหลาน รวมทั้งสามารถพูดคุยถึงผลกระทบการใช้สื่ออนาจารกับบุตรหลานอย่างเปิดเผย ส่วนกลุ่มนักศึกษาผู้ที่เข้าถึงสื่ออนาจารโดยตรง เสนอแนวคิดไว้ว่า สื่อลามกอนาจารมีผลกระทบต่อจิตใจ ร่างกาย การป้องกันที่ได้ผลที่สุด คือ การฝึกควบคุมจิตใจตนเอง รู้จักใช้เหตุผลในการเลือกรับสื่อ รู้เท่าทันสื่อ แต่คงเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต และทำให้หายไปได้ ดังนั้น ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลในการเลือกบริโภคสื่ออย่างชาญฉลาด โดยใช้สติ รู้คิด วิเคราะห์ และพอเหมาะพอดี


ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
link http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/35516

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีดูแลตัวเองไข้เลือดออก สำคัญที่สุดคือช่วงไข้ลด

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีดูแลตนเองหลังการเป็นไข้เลือดออก เช่น เช็ดตัวช่วยลดไข้เป็นระยะๆ ดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้ คอยสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยเสมอ ช่วงสำคัญคือช่วงที่ไข้ลดลงประมาณวันที่ 3-4 แต่ผู้ป่วยซึมลง กินและดื่มไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดอาการช็อก ต้องรีบนำผู้ป่วยกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรักษาให้ทันท่วงที
วันที่ 12 กรกฎาคม 56 นายแพทย์ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มี ความห่วงใยสถานการณ์โรคไข้เลือดออกที่มีผู้ป่วยสูงกว่าปีที่ผ่านมา 3 เท่าตัว ซึ่งปัญหามีความรุนแรงมากกว่าเดิม จึงให้ความสำคัญกับโรคไข้เลือดออกเป็นลำดับต้น ซึ่งการควบคุมแก้ไขปัญหาโรคไข้เลือดออกให้ได้ผลดีที่สุด ต้องใช้ 2 มาตรการควบคู่กัน คือ 1.การดูแลรักษาผู้ป่วย ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดจุดตรวจคัดกรอง รักษาผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเป็นการเฉพาะในโรงพยาบาลทุกแห่ง และ 2.การลดจำนวนยุงลาย ตัวการแพร่เชื้อโรคไข้เลือดออก เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย ซึ่งได้ผลดีมากถ้าทำจริงจังต่อเนื่องทุกๆ 7 วัน
สำหรับสถานการณ์โรคไข้เลือดออกปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 9 กรกฎาคม 2556 มีผู้ป่วยไข้เลือดออกแล้ว 67,889 ราย เสียชีวิต 71 ราย โดยมีผู้ป่วยสูงกว่าปีที่แล้ว 3.2 เท่า กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ 15-24 ปี (ร้อยละ 28.91) ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนักเรียน (ร้อยละ 51.60) และกลุ่มอายุที่พบเสียชีวิตสูงสุด คือ 15-24 ปี (ร้อยละ 28.17) ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนักเรียน (ร้อยละ 47.89) เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้ปริมาณยุงลายเพิ่มมากขึ้น เกิดจากฝนตกบ่อย และจำนวนแหล่งเพาะพันธุ์ที่เป็นภาชนะมีมากขึ้นทุกวัน เช่น กล่องโฟม ยางรถเก่า จานรองกระถางต้นไม้ เป็นต้น
กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มอบหมายให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำในชุมชน ครู นักเรียนและประชาชน ร่วมมือกันทำ 5ป 1ข ได้แก่ ปิดฝาภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด เปลี่ยนน้ำทุกๆ 7 วัน ปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะกักเก็บน้ำ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ปฏิบัติเป็นประจำให้เป็นนิสัย และ 1ข คือ ขัดภาชนะที่อาจมีคราบไข่ยุงเกาะอยู่ รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันไม่ให้ยุงกัดด้วยการนอนในมุ้งและ ทายากันยุง และการค้นหาผู้ป่วยโดยเร็ว เพราะหากผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกและได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ อย่างถูกต้อง จะลดการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้
ด้าน ดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคไข้เลือดอก ทำให้เสียชีวิตได้ หากละเลยต่อการรักษา จากข้อมูลพบว่ากลุ่มเสี่ยงกลุ่มใหญ่ที่ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกเป็นเด็กวัย รุ่นอายุ 15-24 ปีมากที่สุด ส่วนช่วงอายุในวัยเรียนรวมกันจะพบมากกว่าร้อยละ 60 แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันมีการระบาดในกลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะนักเรียนไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งมีสัดส่วนการระบาดที่เพิ่มขึ้นมากกว่าอดีตที่ผ่านมา
อาการหรือสัญญาณอันตรายของไข้เลือดออก ได้แก่ ไข้สูงลอยเกิน 2 วัน อาเจียน เบื่ออาหาร กินยาแล้วไข้ไม่ลดลงภายใน 1-2 วัน ถ้ามีอาการใดอาการหนึ่งให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาให้ทันท่วงที เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไข้เลือดออกในระยะแรกแล้ว มักให้ผู้ป่วยกลับมารักษาตัวที่บ้าน ซึ่งผู้ดูแลก็สามารถใช้วิธีปฏิบัติง่ายๆ คือ การเช็ดตัวให้ผู้ป่วยไม่ให้ตัวร้อนจัด รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนและอาหารที่ทำให้ร่างกายสดชื่น เช่น น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ และพักผ่อนมากๆ และที่สำคัญต้องคอยเฝ้าสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอยู่เสมอ
โดยเฉพาะช่วงที่ไข้ลดลงประมาณวันที่ 3-4 ถ้าผู้ป่วยฟื้นไข้ สดชื่น วิ่งเล่นได้ แสดงว่าหายป่วย และปลอดภัยจากโรคไข้เลือดออกแล้ว แต่ถ้าพบว่าผู้ป่วยซึมลง อ่อนเพลียมาก กินและดื่มไม่ได้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปวดท้องกะทันหัน หรืออาเจียนเป็นเลือด แสดงว่าเข้าสู่ภาวะช็อก ต้องรีบนำผู้ป่วยกลับไปพบแพทย์อีกครั้งโดยเร็วที่สุด
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเน้นว่า สำหรับโรคไข้เลือดออก ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ไม่มียารักษาเฉพาะ เมื่อป่วยแล้วแพทย์จะรักษาตามอาการ ซึ่งช่วงที่อันตรายของโรค คือ ช่วงที่ไข้ลดลง เนื่องจากเป็นช่วงที่เข้าสู่ระยะช็อก ซึ่งหากรักษาไม่ทันจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายใน 1 วันได้ และพบว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เนื่องมาจากมาพบแพทย์ช้าเกินไปในช่วง ที่ไข้ลดแล้วช็อกนั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อป่วยเป็นไข้สูงเกิน 2 วัน อย่านิ่งนอนใจรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว


ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 
link http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/35528

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ไส้กรอกวันละชิ้นเสี่ยงมะเร็ง!


นักวิจัยพบ พฤติกรรมการรับประทานผลิตภัณฑ์เนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับอ่อนได้
โดยงานวิจัยครั้งนี้ส่งตรงจากสวีเดน เมื่อมีการศึกษาพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปเพียงวันละ 50 กรัมต่อวันก็เพิ่มความเสี่ยงได้ถึง 19เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปริมาณ 50 กรัมนั้นเทียบเท่ากับปริมาณของแฮมสไลด์บาง ๆ 1 ชิ้น หรือไส้กรอก 1 ชิ้น หรือเบคอนสไลด์บาง 1 ชิ้นเท่านั้น
ส่วนการรับประทานเนื้อแดง เช่น เนื้อสเต็ก หรือเนื้อติดกระดูกนั้นก็เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งให้กับผู้ชายด้วย เหมือนกัน ไม่เพียงเท่านั้น หากเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเนื้อสัตว์ชนิด "รมควัน" แล้วล่ะก็ ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอ่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 74 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร The British Journal of Cancer ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากข้อมูลของผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนราว 6,000 รายเลยทีเดียว
นอกจากนั้นยังมีหลักฐานที่ชี้ว่า การรับประทานเนื้อแดง และเนื้อแปรรูปนั้นอาจเป็นตัวการของมะเร็งลำไส้อีกด้วย
เจ้าของงานวิจัย ศาสตราจารย์ซูซานนา ลาร์สสัน แห่งสถาบัน Karolinska ในสต็อกโฮล์มกล่าวว่า "อัตราการรอดชีวิตจากมะเร็งตับอ่อนนั้นต่ำมาก ดังนั้น การทำความเข้าใจ และการตระหนักว่าความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้มาจากสิ่งใดบ้างคือเรื่องสำคัญ"
ทั้งนี้ รายงานจากไซแอนทิฟิกอเมริกันระบุว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อนส่วนใหญ่ประมาณ 53% จะได้รับการวินิจฉัยว่าตัวเองเป็นโรคนี้ก็เมื่อมะเร็งได้ลามไปมากแล้ว ในจำนวนนี้อัตรารอดชีวิตต่ำมาก ซึ่งมีเพียง 1.8% ของผู้ป่วยที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนานกว่า 5 ปีหลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งนี้แล้ว และสำหรับมะเร็งชนิดอัตราผู้รอดชีวิตนาน 5 ปีหลังได้รับการวินิจฉัยมีเพียง 3.3% เท่านั้น
ส่วนมากผู้ที่เป็นมะเร็งตับอ่อนมักจะเสียชีวิต เพราะมักจะตรวจพบในระยะท้าย ๆ แล้ว อีกทั้งต่างจากมะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ตรงที่มะเร็งชนิดนี้จะไม่แสดงอาการ ของโรคในระยะแรกมากนัก ข้อบ่งชี้ของโรคที่สามารถสังเกตได้เช่น อาการปวดท้องส่วนบน น้ำหนักลด เบื่ออาหาร และการอุดตันของลิ่มเลือด อย่างไรก็ดี อาการเหล่านี้ค่อนข้างพบได้ทั่วไป และทุกคนสามารถเป็นได้
ครอบครัวใดที่ชอบรับประทานไส้กรอกเป็นชีวิตจิตใจ อาจต้องเปลี่ยนเมนูกันบ้างแล้วก็เป็นได้ค่ะ
     

ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ link http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/26398

ขจัดปัญหาเส้นเลือดขอด

  September 7, 2012 
หลอดเลือดขอด เกิดจากอะไร จากการศึกษาพบว่าประมาณ 40% ของผู้หญิงในวัย 50 ปีขึ้นไป มักมีปัญหาหลอดเลือดขอดหรือเส้นเลือดฝอยบริเวณขาเกิดจากความผิดปกติของลิ้น เล็ก ๆ ในหลอดเลือดดำ ซึ่งคอยควบคุมให้เลือดจากที่ขา ที่เท้า ไหลขึ้นมาบริเวณด้านบน คือ เข้าสู่หัวใจไม่สามารถสกัดกั้นการไหลย้อนของเลือดได้ จึงทำให้เลือดเกิดการคั่งอยู่ในหลอดเลือดส่วนปลาย ได้แก่ ส่วนที่อยู่ใกล้ผิวหนังทำให้เห็นเป็นเส้นเลือดที่โป่งพองเป็นก้อน หรือเป็นเส้นเลือดฝอยแตกคล้ายแผนที่ หรือใยแมงมุม ตำแหน่งที่พบบ่อย ๆ คือ บริเวณน่อง ขาพับ โคนขา และบริเวณระหว่างตาตุ่มขึ้นไปถึงสะโพก ซึ่งลักษณะดังกล่าวทำให้เรียวขาดูไม่เรียบ และไม่สวยงาม ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะเป็นมากขึ้น อาจก่อให้เกิดแผลเรื้อรังบริเวณข้อเท้า ผิวหนังบวมแตกและมีการติดเชื้อร่วมด้วยได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดหลอดเลือดขอด
  1. เกิดจากทำงานโดยต้องยืนหรือเดินนาน ๆ เช่น พนักงานขายสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสาร
  2. เกิดจากกรรมพันธุ์ พ่อแม่ที่มีหลอดเลือดขอด ลูกมีโอกาสเป็นหลอดเลือดขอดด้วย
  3. เกิดจากอายุที่มากขึ้น จะเป็นหลอดเลือดขอดเพื่มขึ้น เนื่องจากความยืดหยุ่น และความแข็งแรงของลิ้นหลอดเลือดลดน้อยลง
  4. เกิดจากฮอร์โมนเพศ ซึ่งเพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่เพศชาย เนื่องจากผลของฮอร์โมนเพศหญิงโดยตรง
  5. เกิด จากการมีน้ำหนักเกิน คนที่มีน้ำหนักมากเกิน เลือดจะหมุนเวียนได้ไม่สะดวก จะเกิดการคั่งค้างของเลือดบริเวณขามากขึ้น จึงทำให้เกิดหลอดลือดขอดได้มาก
  6. เกิดจากการกระทบกระแทกหรือการกดทับ เช่น ไขว่ห้าง เนื่องจากเลือดเดินไม่สะดวก
  7. เกิดจากการใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งจะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ไม่ดี
เส้นเลือดขอดทำไมต้องรักษา
โรคหลอดเลือดขอด เป็นโรคที่หลาย ๆ คนละเลย เพราะคิดว่าไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อการดำเนินชีวิต แต่ความจริงแล้วหากเราปล่อยให้หลอดเลือดขอดอยู่กับเราไปนาน ๆ คุณอาจจะต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดจนถึงขั้นไม่สามารถที่จะยืนหรือเดินได้ หรือในบางรายเป็นมากจนถึงขนาดเส้นเลือดแตก
ลงโฆษณาที่นี่
การรักษาหลอดเลือดขอด ขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นเลือดขอดมี 5 วิธี
  • การพันขาลดอาการคั่งบวม
  • การฉีดสารเคมีทำให้หลอดเลือดตีบ (Sclerotherapy)
  • การใช้คลื่นความถี่วิทยุ Radio Frequency Ablation (RFA)
  • การใช้ Laser
  • การผ่าตัด
ทางเลือกใหม่ในการรักษา
Radio Frequency Ablation (RFA) เป็นเครื่องมือที่ทันสมัย และมีแผลขนาดเล็ก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลังการรักษา กลับบ้านได้ทันที ทำให้ไม่มีผลกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวัน การรักษาด้วย Radio Frequency ใช้หลักการเดียวกับเลเซอร์โดยใช้สาย Fiberoptic เข้าไปในหลอดเลือดดำที่มีปัญหา และใช้พลังงานของ Radio Frequency เข้าไปสลายหลอดเลือดเหล่านั้น
คำแนะนำในการปฏิบัติหลังการรักษา
  1. ควรงดการยกของหนักหรือยืนนาน ๆ เป็นเวลา 3-7 วัน
  2. ควร ใส่ผ้ายืดหรือซัพพอร์ทในบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อประคองกล้ามเนื้อและหลอดเลือดบริเวณนั้น ส่วนระยะเวลาที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของหลอดเลือด โดยเส้นเลือดเล็กฝอยให้ใส่ไว้ 1-3 วัน ส่วนหลอดเลือดขอดขนาดกลาง (ขนาดเท่าไส้ปากกา) ควรใส่อย่างน้อย 7 วัน ขึ้นไป
  3. ควรอกกำลังกายด้วยการเดินทุกวัน เพื่อกระตุ้นให้ยากระจายตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น
  4. ควรพบแพทย์ ตามนัดภายใน 2-4 สัปดาห์ เพื่อแพทย์จะได้ติดตามผลการรักษา
เส้น เลือดขอดจะทำให้ผิวพรรณบริเวณนั้น ๆ ดูไม่สวยงามแล้วหากคุณปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้คุณเจ็บปวดได้ วิธีการรักษาเส้นเลือดขอดที่ทันสมัยด้วย เครื่อง Radio Frequency Ablation (RFA) เป็นวิธีที่ได้ผลดี สะดวก และปลอดภัย ใช้เวลาเพียงไม่นานคุณก็สามารถใส่กระโปรงหรือกาเกงขาสั้นโชว์เรียวขาสวยได้ แล้ว
จากเว็บข่าวสุขภาพ ลิ้งhttp://ข่าวสุขภาพ.com/%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%94/

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ห่วงอีสานตายมะเร็งท่อน้ำดีจำนวนมาก


สธ.ห่วงประชาชนภาคอีสาน เป็นโรคพยาธิใบไม้ในตับ แนะประชาชนกินปลาปรุงสุก ถ่ายอุจจาระลงส้วม ล้างมือให้สะอาด ลดอัตราตายจากมะเร็งท่อน้ำดี  
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมช.สาธารณสุข ประธานเปิดมหกรรม รณรงค์สัญจร การกำจัดโรคพยาธิใบไม้ตับ ลดมะเร็งท่อน้ำดี ปี 2556Ž จัดโดยกรมควบคุมโรค ร่วมกับร.พ.จุฬาภรณ์ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกรับรองว่าการเป็นพยาธิใบไม้ตับเรื้อรัง หรือมีการติดเชื้อซ้ำบ่อยๆ ในระยะยาว เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีได้
จากการสำรวจสถานการณ์ความชุกของโรคพยาธิใบไม้ตับในประเทศไทย พบเฉลี่ยร้อยละ 9 พบในภาคอีสานสูงที่สุดร้อยละ 18 บางหมู่บ้านมีอัตราความชุกสูงมากถึงร้อยละ 85 รองลงมาคือภาคเหนือ ร้อยละ 10 บางหมู่บ้านมีอัตราความชุกสูงร้อยละ 46 ข้อมูลปี 2554 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี 14,314 ราย มากที่สุด คือ ภาคอีสาน 7,593 ราย รองลงมาคือ ภาคเหนือ 2,638 ราย ผู้ป่วยมักอยู่ในช่วงอายุ 45-55 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงาน สธ.จึงต้องเร่งรณรงค์ควบคุมป้องกัน ขณะที่ปี 2558 จะครบ 100 ปี ที่มีรายงานพบผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับในประเทศไทย
นพ.ชลน่านกล่าวต่อว่า สาเหตุหลักของโรคมะเร็งท่อน้ำดี เกิดจากค่านิยมกินปลาน้ำจืดเกล็ดขาวแบบดิบๆ หรือสุกๆ ดิบๆ คือ เมนูก้อยปลาดิบ พล่าปลาดิบ ปลาส้ม ปลาร้าดิบ หมักไม่ถึง 6 เดือน โดยปลาดิบจะมีตัวอ่อนพยาธิใบไม้ตับที่เข้าสู่ท่อน้ำดีส่วนปลายที่อยู่ในตับ เจริญเป็นตัวเต็มวัย และวางไข่พยาธิขับออกมากับน้ำดีและปนอุจจาระออกมา
วิธีป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ คือ การกินปลาที่ปรุงสุก 100 เปอร์เซ็นต์ ถ่ายอุจจาระลงส้วม ล้างมือให้สะอาด สธ.ตั้งเป้าลดอัตราป่วยจากพยาธิใบไม้ตับในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 5 และลดอัตราตายจากมะเร็งท่อน้ำดีให้เหลือไม่เกิน 20 ต่อแสนประชากร ภายในปี 2564


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสดลิ้งข่าว

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลเพ็ญ ร่วมกับงานเอดส์โรงพยาบาลเพ็ญ

จัดรายการ "เฮฮาภาษาสุขภาพ"ทางวิทยุ สุพรชัยเรดิโอ

ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 11.00 - 13.00 น.


 

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตะลึง! ข้อมูลสุดสลดไทยมีคนตายจากการขี่รถจักรยานยนต์ ชม.ละ 1 ราย สูงติดอันดับ 3 ของโลก แนะควรห้ามโฆษณาที่ส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยง

ตะลึง! ข้อมูลสุดสลดไทยมีคนตายจากการขี่รถจักรยานยนต์ ชม.ละ 1 ราย สูงติดอันดับ 3 ของโลก แนะควรห้ามโฆษณาที่ส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยง
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผย ว่า ผลการประชุมเพื่อพัฒนาความปลอดภัยของจักรนายนต์ พบว่า ผู้ใช้ จยย.ในประเทศไทยเสียชีวิต ชม.ละ 1 คนบนท้องถนน และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก (Global Status Report 2013)
ทั้งนี้ มีประเด็นที่สำคัญมากคือ จยย.ของประเทศไทยมีลักษณะที่แตกต่างจากที่วางขายในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งอาจมีผลต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ว้อนท้ายได้ เช่น วงล้อกว้าง หน้ายางแคบ และมีความเร็วสูง เป็นต้น ซึ่งน่าจะมีผลต่อการเบรกและความเสถียรของ จยย.
นพ.พรเทพ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นควรให้บริษัทผู้ผลิต จยย.ในประเทศไทย มาเสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการศูนย์ความปลอดภัยทางถนนในเรื่องเหตุผลที่มีความ แตกต่างของ จยย. ที่ผลิตในประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเกี่ยวกับการโฆษรา เช่น ควรห้ามโฆษรา จยย.ที่ส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ จยย.แบบครอบครัวโดยมีภาพผู้ใช้รถ 4 คนต่อ 1 คัน, มีผู้ขับขี่ จยย.แต่ไม่มีหมวกกันน็อก, โฆษณาความเร็วกับความแรงเป็นต้น รวมถึงข้อเสนอให้พิจารราเร่งรัดการสร้างช่องทางเฉพาะของจยย.บนถนน เพราะมีความคุ้มค่าในการลงทุนถึง 6 เท่า

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/news/33797