วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เตือน! ดื่มน้ำร่วมแก้วเสี่ยงต่อโรคติดต่อหลายโรค

 
          นพ.ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึง การดื่มน้ำร่วมแก้วกับผู้ที่มีเชื้ออยู่ก่อนแล้ว เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อโรคติดต่อ
 
          โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงาน คนงานการเกษตร ที่มักจะนำน้ำดื่มใส่ภาชนะใบใหญ่ แล้วนำมาดื่มร่วมกันโดยใช้แก้วน้ำใบเดียวกัน พบว่ามีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อหลายโรค ดังนั้นประชาชนควร หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำร่วมแก้วเพื่อป้องกันกันการติดเชื้อโรคจากทางน้ำลาย
 
          จากพฤติกรรมเสี่ยงที่บ่งชี้ถึงอันตรายที่จะได้รับเชื้อโรคคอตีบ โดยเตือนกลุ่มพิเศษโดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานอันเนื่องมาจากในเดือน พฤศจิกายน จนถึงเดือนธันวาคม เกษตรกรจะเริ่มเก็บเกี่ยวข้าว และตัดอ้อยซึ่งจะมีการว่าจ้างคนงานเกษตรเป็นจำนวนมากเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งกลุ่มแรงงานเหล่านี้อาจมาจากหลากหลายพื้นที่ และแรงงานต่างด้าวในโรงงานที่หันมารับจ้างพิเศษในช่วงวันหยุดของโรงงาน จะมีการนำภาชนะบรรจุน้ำดื่มไว้บริการกันเองในกลุ่มแรงงานด้วยกัน โดยใช้แก้วน้ำเพียงใบเดียว ขันตักน้ำใบเดียว เมื่อดื่มน้ำแล้วก็ไม่มีการล้างแก้ว ล้างขันให้สะอาด จึงทำให้เสี่ยงต่อการระบาดของโรคติดต่อ ที่สำคัญคือ โรคคอตีบ โรคหวัด โรคมือ เท้า ปาก และโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำอื่นๆ ไม่เฉพาะกลุ่มแรงงานเกษตรเท่านั้น ยังมีกลุ่มนักดื่มที่นิยมดื่มเหล้าจากแก้วใบเดียวกัน จึงขอความร่วมมือให้นายจ้างที่จำเป็นต้องจ้างแรงงานเกษตรมาทำงานให้ความ สำคัญกับน้ำดื่มโดยเฉพาะ หากสามารถใช้แก้วน้ำกระดาษประเภทใช้แล้วทิ้งจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น หรือจัดให้มีบริเวณสำหรับล้างแก้วน้ำหลังดื่มเสร็จทุกครั้ง และขอให้ร้านค้าที่มีบริการน้ำดื่มฟรีดูแลให้มีหลอดดูดที่สามารถใช้แล้วทิ้ง ได้เลยนอกจากจะประหยัดได้แล้วยังปลอดภัยอีกด้วย ในส่วนของกรรมกรผู้ใช้แรงงานให้จัดหาภาชนะแก้วน้ำสะอาด หลอดดูด หรือการนำกระติกน้ำดื่มส่วนตัวแทนการดื่มน้ำร่วมกับผู้อื่น เพื่อเป็นการป้องกันโรคติดต่อที่อาจจะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชน
 
          ในช่วงต้นฤดูหนาวนี้ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ ไข้ เจ็บคอ กลืนลำบาก และหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง จะต้องระวังการดื่มน้ำในที่สาธารณะจากแก้วน้ำที่ใช้ร่วมกัน ผู้ป่วยและผู้มีอาการไข้ เจ็บคอต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น